วันพุธที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2559

Schizophrenia

           โรคจิตเภท (Schizophrenia) คือ กลุ่มอาการของโรคที่มีความผิดปกติของความคิด ทำให้ผู้ป่วยมีความคิดและการรับรู้ไม่ตรงกับความเป็นจริง ทำให้มีผลเสียต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน 

สาเหตุ
     สาเหตุมาจากทั้งด้านร่างกายและจิตใจ ดังนี้
ด้านร่างกาย
      ทางพันธุกรรม  โดยสารเคมีในสมองมีความผิดปกติและจากโครงสร้าง ของสมองบางส่วนที่มีความผิดปกติเล็กน้อย
ด้านจิตใจ
         จากความเครียดในชีวิตประจำวัน เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดความเจ็บป่วย  การใช้อารมณ์กับผู้ป่วย การตำหนิ มีท่าทีที่ไม่เป็นมิตร

ลักษณะอาการ
อาการเริ่มต้น
        อาการเริ่มต้น อาจเกิดในแบบเฉียบพลันทันที หรือเกิดแบบค่อยเป็นค่อยไปก็ได้ ในกรณีที่อาการเริ่มต้นเป็นแบบค่อย เป็นค่อยไป จะมีอาการเริ่มต้นอย่างช้าๆ อาจมีอาการสับสน มีความรู้สึกแปลกๆ ไม่อยู่ในความเป็นจริง อาการ จะค่อยๆ มากขึ้น ทำให้ครอบครัวและคนรอบข้างรู้สึกว่าผู้ป่วยเปลี่ยนไปจากบุคลิกภาพเดิม อาทิเช่น แยกตัว ไม่อยากสุงสิงกับใครมีอาการ ระแวงคนอื่น มีปัญหาการนอนหลับ ไม่สามารถรับผิดชอบหน้าที่การงาน การเรียน ได้เหมือน ปกติ ค่อยๆ หมดความสนใจ สิ่งต่างๆ รอบตัว รวมถึง การดูแลสุขภาพอนามัยส่วนตัว
        อาการเหล่านี้ เป็นอาการเริ่มต้นที่ช่วยเตือนว่า อาจจะมีการเริ่มต้นของโรคจิตเภทแล้ว สิ่งที่สำคัญที่ควรทำ คือ การ ปรึกษาแพทย์เพื่อรับการบำบัดรักษาแต่เนิ่นๆ ซึ่งจะช่วยให้การรักษาได้ผลดีกว่าการปล่อยไว้นานจนเป็นการเจ็บป่วยเรื้อรัง
ลักษณะอาการแบ่งออกได้ 2 กลุ่ม คือ
   1. กลุ่มอาการที่เพิ่มมากกว่าคนปกติทั่วไป ได้แก่  อาการหลงเชื่อผิด เป็นความเชื่อของผู้ป่วยที่ผิดไปจากความเป็นจริง เช่น คิดว่าคนอื่นจะมาทำร้าย ระแวงว่าตนจะถูกวางยาพิษ คิดว่าตนส่งกระแสจิตได้
  • ความคิดผิดปกติ ผู้ป่วยคิดแบบมีเหตุผลอย่างต่อเนื่องไม่ได้ ทำให้คุยกับคนอื่นไม่เข้าใจ ผู้ป่วยมักพูดไม่เป็นเรื่องราว พูดไม่ต่อเนื่อง เปลี่ยนเรื่องพูดโดยไม่มีเหตุผล
  • ประสาทหลอน โดยผู้ป่วยคิดว่ามีบางสิ่งเกิดขึ้น ทั้งๆ ที่ ความจริงไม่มีสิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้น เช่น ได้ยินเสียงคนมาพูดด้วยทั้งๆ ที่ไม่มีใครพูดด้วย (หูแว่ว) มองเห็นวิญญาณ (เห็นภาพหลอน)
  • มีพฤติกรรมผิดปกติ โดยมักเกี่ยวข้องกับความคิดและความเชื่อที่ผิดปกติ เช่น ทำร้ายคนอื่น อยู่ในท่าแปลกๆ    ซ้ำๆ หัวเราะหรือร้องไห้สลับกันเป็นพักๆ
2. กลุ่มอาการที่ขาดหรือบกพร่องไปจากคนปกติทั่วไป ได้แก่
  • เก็บตัว ซึม ไม่อยากพบปะผู้คน แยกตัวเอง
  • ไม่ดูแลตัวเอง ไม่สนใจเรื่องการแต่งกาย กลางคืนไม่นอน
  • ไม่มีความคิดริเริ่ม เฉื่อยชาลง ไม่ทำงาน นั่งเฉยๆ ได้ทั้งวัน ผลการเรียนหรือการทำงานตกต่ำ
  • พูดน้อย ใช้เวลานานกว่าจะตอบ พูดจาไม่รู้เรื่อง เนื้อความไม่ปะติดปะต่อกัน
  • การแสดงออกทางอารมณ์ลดลงมาก ไร้อารมณ์ มักมีสีหน้าเฉยเมย ไม่มีอาการยินดียินร้าย     

ระยะดำเนินของโรค

      ผู้ป่วยจะเริ่มด้วยอาการนำ แล้วตามมาด้วยอาการของโรคอาจจะเกิดแบบเฉียบพลัน หรือค่อยเป็นค่อยไป อาการสงบลงสลับกับกำเริบขึ้นอีกเป็นครั้งคราว ผ่านไปหลายปีอาจจะมีอาการหลงเหลืออยู่เช่นเดียวกับอาการนำ

การวินิจฉัย
การวินิจฉัยโดยอาการเป็นสำคัญ ผู้ป่วยมีลักษณะดังต่อไปนี้
 - มีพฤติกรรมที่ผิดปกติ
 - ป่วยเรื้อรัง
 - ความสามารถในการดำรงชีวิตเสื่อมถอย เช่น ทำงานไม่ได้ พึ่งตนเองไม่ได้
- เมื่อป่วยแล้วไม่หายเป็นปกติเหมือนก่อนป่วย

การรักษา 
     การรักษาโรคจิตเภทประกอบด้วย
     1. การรับไว้รักษาภายในโรงพยาบาล ผู้ป่วยจิตเภทที่ต้องให้การรักษาภายในโรงพยาบาลจะมีลักษณะต่อไปนี้คือ มีปัญหาในการวินิจฉัย ผู้ป่วยมีอาการรุนแรงจนพฤติกรรมเสียระบบ ( disorganized) และไม่เหมาะสมจนไม่สามารถจัดหาความต้องการพื้นฐานให้ตนเอง ผู้ป่วยอาจจะฆ่าตัวตายหรือทำร้ายผู้อื่น 
     2. การรักษาทางกาย ( somatic treatment) 
การใช้ยา antipsychotic ทำให้อาการโรคจิตดีขึ้น แต่ไม่ได้ทำให้จิตเภทหาย ผู้ป่วยต้องรับการรักษานาน โดยมีหลักการคือ รักษาอาการเฉียบพลัน และให้ยาระยะยาวเพื่อป้องกันการกลับเป็นซ้ำ 
        การรักษาด้วยการทำให้ชักด้วยไฟฟ้า ( ECT) วิธีนี้ได้ผลสู้ยาต้านโรคจิตไม่ได้ แต่จะใช้ได้ผลดีมากสำหรับจิตเภทชนิด catatonia และผู้ป่วยที่ไม่สามารถใช้ยาต้านโรคจิต 
        การรักษาด้วยวิธีอื่นๆ เช่น จิตศัลยกรรม ( psychosurgery) โดยเฉพาะ frontal lobotomy ปัจจุบันไม่ใช้วิธีนี้ในการรักษาจิตเภทแล้ว 
     3. การรักษาทางจิตสังคม แม้ว่ายาต้านโรคจิตจะเป็นหลักในการรักษาจิตเภท แต่การรักษาทางจิตสังคมจะช่วยเพิ่มพูน ทำให้อาการทางจิตดีขึ้น การรักษาจึงควรจะกระทำควบคู่กันไปทั้งการรักษาด้วยยา และการรักษาทางจิตสังคม 
        จิตบำบัด โดยใช้แนวคิดทฤษฎีต่างๆมาใช้ในการบำบัด เช่น พฤติกรรมบำบัด ( Behavioral therapy) 
        กลุ่มบำบัด ( Group Therapy) 
        ครอบครัวบำบัด เพื่อให้ครอบครัวเข้ามามีส่วนร่วมในการดูแลและช่วยเหลือผู้ป่วย 
     เป้าหมายของการรักษามี 3 ประการคือ 
     1. รักษาอาการให้หายหรือบรรเทาลง (symptoms reduction) เช่น การรักษาด้วยยา การช็อกด้วยไฟฟ้า 
     2. ป้องกันไม่ให้กลับป่วยซ้ำอีก (prevention of relapse) เช่น การทำจิตบำบัดแบบบุคคลหรือกลุ่ม 
     3. การฟื้นฟูสมรรถภาพ ทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น (rehabilitation) เช่น เกษตรกรรมบำบัด อาชีวบำบัด จัดโปรแกรมให้ความรู้ การให้คำปรึกษา จิตบำบัดแบบประคับประคอง 
     การรักษาผู้ป่วยจิตเภท ควรให้การรักษาอย่างเต็มที่ตั้งแต่ครั้งแรกจะเป็นผลดีที่สุด กล่าวคือ ร้อยละ 90 จะหายจากอาการเจ็บป่วย ถ้าทิ้งไว้นานอาการกำเริบครั้งต่อมาจะรักษาไม่ได้ผลดีเท่ากับการรักษาครั้งแรก และยิ่งเป็นมากครั้งต้องใช้เวลารักษานานขึ้น นอกจากนี้ ผู้ป่วยจิตเภทที่เกิดอาการกำเริบบ่อยครั้ง การทำงานของสมองจะเสื่อมถอยลง โดยพบว่าเนื้อสมองสีเทา (Gray matter) จะมีปริมาณลดลง ทำให้ผู้ป่วยมีความยากลำบากในการคิด การตัดสินใจอย่างมาก ซึ่งส่งผลต่อการบำบัดทางจิตสังคม 


Neurosis

โรคประสาท (Neurosis) เป็นโรคทางจิตประเภทหนึ่ง ที่เกิดจากความผิดปกติทางจิตที่ไม่สามารถควบคุมพฤติกรรม และอารมณ์ให้เหมือนคนทั่วไปได้ ด้วยสาเหตุจากความวิตกกังวล ความไม่สบายใจ จิตใจแปรปรวน อ่อนไหวง่าย มีความขัดแย้งในจิตใจ มีความรู้สึกไม่สบายใจ วิตกกังวล ซึ่งจะมีอาการแสดงออกตามมา โดยผู้ป่วยมักแสดงออกทั้งทางร่างกาย และจิตใจที่เห็นได้ชัด แต่ไม่รุนแรงเท่าโรคจิต ผู้ป่วยสามารถมีจิตนึกคิดตามเหตุการณ์ที่เป็นจริง รู้ตัวเองอยู่เสมอ ไม่มีอาการประสาทหลอนหรือเห็นภาพลวงตา หูแว่ว และสามารถใช้ชีวิตเหมือนคนปกติทั่วไป โรคนี้สามารถเกิดได้ในทุกวัยเริ่มตั่งแต่วัยเด็กจนถึงคนสูงอายุ 

สาเหตุ
1. สาเหตุทางพันธุกรรม และโครงสร้างของร่างกาย ที่ทำให้เกิดความบกพร่องของร่างกาย เช่น การสูญเสียอวัยวะ การพิการแต่กำเนิด เป็นต้น สิ่งเหล่านี้สามารถเป็นมูลเหตุทำให้เกิดความท้อแท้ และเป็นปมด้อยในชีวิตได้
2. สาเหตุทางสังคม และการใช้ชีวิต ที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางสังคมอย่างรวดเร็วทำให้การปรับตัวเข้ากับสังคมไม่ทัน การถูกตอกย้ำทางสังคมในจุดด้อยที่ตนเองมี รวมไปถึงปัญหาชีวิตในด้านต่างๆ เช่น ความยากจน การหย่าร้าง เป็นต้น สิ่งเหล่านี้เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดความเครียด ความวิตกกังวล และภาวะทางประสาทตามมา
3. สาเหตุทางชีวะเคมี ที่เกิดจากภาวะร่างกายเจ็บป่วยหรือผิดปกติจากสาเหตุต่างๆ ทำให้ร่างกายหลั่งสารเคมีต่างๆผิดปกติ มีผลต่อการทำงานของระบบประสาท สมอง ส่งผลต่อการแสดงออกของพฤติกรรมของโรคทางประสาท
4. สาเหตุจากสารเสพติด ที่ผู้ป่วยมีการใช้สารเสพติดหรือสารที่มีผลต่อระบบประสาทมากเกินขนาดหรือสะสมเป็นเวลานาน ทำให้เกิดอาการทางประสาทตามมา
5. สาเหตุทางอายุ ในวัยเด็กเมื่อเผชิญกับเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดความกลัวอย่างรุนแรง เด็กมักจดจำได้นาน และเก็บฝังภายในจิตใจ รวมไปถึงจุดพร่องที่ตนเองมีในวัยเด็ก เมื่อเผชิญกับเหตุการณ์เหล่านั้นก็มักจะเกิดความกลัวได้ง่ายเมื่อเปรียบเทียบกับการเผชิญเมื่อเป็นวัยผู้ใหญ่ จะก่อให้เกิดความแปรปรวนของนิสัย เช่น การกัดเล็บ การดูดนิ้วมือ การปัสสาวะรดที่นอน บางรายอาจมีการกระตุกเกร็ง และบางคนมีความรู้สึกหวาดกลัว ส่วนวัยผู้สูงอายุ มักเกิดอาการทางประสาทได้ง่ายในภาวะที่จิตใจอ่อนแอหรือรู้สึกทอดทิ้ง

ลักษณะอาการ
อาการของโรคประสาทมีลักษณะเด่นในเรื่องของการวิตกกังวลเป็นพิเศษ และมีอาการอื่นร่วมด้วย ซึ่งผู้ป่วยมักมีอาการเหล่านี้ คือ
1. มีอารมณ์เครียด วิตกกังวลหรือกลัวเกินกว่าปกติ
2. ชีพจรเต้นแรง เร็ว ใจสั่น มีอาการแน่นหน้าอก อาจมีอาการคลื่นไส้อาเจียน ปวดท้อง ท้องเสีย และปัสสาวะบ่อย
3. มีอาการเกร็งของระบบกล้ามเนื้อ มือสั่น กล้ามเนื้อกระตุก
4. มักมีความคิดซ้ำซาก ย้ำคิดย้ำทำ วนไปวนมา ในสิ่งที่ตนเองกังวล และมักคิดในแง่ร้าย ร่วมด้วยอาการกลัวในสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น
5. มีอาการเหม่อลอย ซึมเศร้า
6. มีอาการตกใจง่ายเมื่อมีเสียงดังหรือมีเหตุการณ์ที่น่าตกใจ
การรักษาโรคประสาท


ระยะดำเนินโรค

ในผู้ใหญ่จะต้องมีอาการอยู่นานถึง ๒ ปี และในเด็กหรือวัยรุ่นต้องมีอาการ ๑ ปี จึงจะวินิจฉัย อารมณ์เศร้าอาจเกิดติดต่อกัน หรือมีระยะที่อารมณ์เป็นปกติเกิดแทรกอยู่ ซึ่งจะกิน เวลาตั้งแต่ ๒-๓ วัน ถึง ๒๓ สัปดาห์ แต่ไม่เกิน ๒-๓ เดือน


การวินิจฉัย
โดยทั่วไปจะถือว่าป่วยเป็นโรคประสาทย้ำคิดย้ำทำ เมื่ออาการย้ำคิดย้ำทำนั้นเป็นมากจนทำให้เกิดปัญหาหนึ่งใน 3 อย่างต่อไปนี้
1.อาการเป็นมากเลิกคิดเลิกทำไม่ได้จนทำให้รู้สึกเป็นทุกข์ทรมานมาก
2.อาการเป็นมากจนทำให้เสียงานเสียการเพราะมัวแต่ย้ำคิดย้ำทำหรือต้องคอยหลีกเลี่ยงสิ่งที่จะมากระตุ้นให้เกิดอาการย้ำคิด
3.อาการต่างๆ ทำให้ต้องทำอะไรที่อาจก่อให้เกิดปัญหาตามมาได้เช่น ต้องกินเหล้ากินเบียร์เพื่อลดความเครียด โกรธ และทำร้ายตัวเอง หรือบางรายเกิดอาการซึมเศร้าอยากตาย หรือพยายามฆ่าตัวตาย

การรักษา
การรักษาอาการของโรคประสาทจะเน้นที่การเปลี่ยนแปลงทางกระบวนการคิดของผู้ ป่วยเป็นหลักที่จะส่งผลต่อพฤติกรรม และความคิดให้เหมือนคนปกติทั่วไป ปัจจุบันทางการแพทย์มักใช้แนวทาง ดังนี้
1. การใช้ยา ในระยะการรักษาขั้นต้นอาจมีการใช้ยาหากผู้ป่วยมีอาการรุนแรงหรือใช้ยาเพื่อ ลดอาการในระยะแรก ในการลดความวิตกกังวล เช่น ยาคลายเครียด ยานอนหลับ ยาบำรุงประสาท เป็นต้น
2. การรักษาทางจิตใจหรือทางแพทย์เรียก จิตบำบัด ผู้ป่วยจะได้รับการรักษาด้วยวิธีจิตบำบัด เพื่อปรับเปลี่ยนกระบวนการคิดทำให้ผู้ป่วยเกิดความเข้าใจตนเอง ยอมรับในความเป็นจริง
3. พฤติกรรมบำบัด วิธีนี้มักใช้ควบคู่ไปกับกระบวนการจิตบำบัด โดยการฝึกให้ผู้ป่วยสามารถจัดการกับความเครียด ความวิตกกังวลของตนเองด้วยวิธีการต่างๆ สามารถแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้า เพื่อลดความเครียด และอาการที่อาจแสดงออกทางร่างกายจากภาวะวิตกกังวล

4. แต่หากผู้ป่วยบางรายสามารถรับรู้ถึงภาวะที่ตนเองเป็นอยู่ ก็อาจสามารถบำบัดอาการป่วยทางจิตไดด้วยตนเอง ด้วยการจัดการความเครียดหรือความวิตกกังวลด้วยวิธีต่างๆ เช่น การนั่งสมาธิ การเข้าวัดฟังธรรม การท่องเที่ยวหรือการปรึกษาคนใกล้ชิด เป็นต้น

Major Depressive disorder

โรคซึมเศร้า หรือ ภาวะซึมเศร้ารุนแรง (อังกฤษ: Major depressive disorder, Clinical depression, Major depression, Unipolar depression) เป็นความผิดปกติของจิตใจซึ่งมีลักษณะโดยรวมคือ มีภาวะซึมเศร้าร่วมกับขาดความเคารพตนเอง รวมทั้งมีภาวะสิ้นยินดี (anhedonia) คือไม่มีความสนใจหรือพึงพอใจในกิจกรรมที่โดยปกติเป็นที่น่าพึงพอใจ
สาเหตุ
          1. ปัจจัยด้านชีวภาพ
                   1) พันธุกรรม พบว่าพันธุกรรมมีส่วนเกี่ยวข้องสูงในโรคซึมเศร้า โดยเฉพาะในกรณีของrecurrent depression โดยความเสี่ยงในญาติสายตรงร้อยละ 7
                   2) Neurotransmitter system ผู้ป่วยมี norepinephrine, serotoninต่ำลง รวมทั้งอาจมีความผิดปกติของ receptor ที่เกี่ยวข้อง เชื่อว่าเป็นความบกพร่องในการควบคุมประสานงานร่วมกัน มากกว่าเป็นความผิดปกติที่ระบบใดระบบหนึ่ง
                   3) Neuroendocrine systems พบมีความผิดปกติในหลายระบบ ได้แก่
                   - Cortisol หลั่งมากและตอบสนองน้อยต่อการกระตุ้นด้วย dexamethasone
                   - Growth hormone หลั่งน้อยกว่าปกติ เมื่อถูกกระตุ้นด้วย clonidine
                   - Thyroid stimulation hormone (TSH) หลั่งน้อยกว่าปกติ เมื่อถูกกระตุ้นด้วยthyrotropin releasing hormone (TRH)
                   การที่ภาวะซึมเศร้าทำให้การทำงานของ hypothalamic-pituitary-adrenal axic (HPA- axis) เพิ่มขึ้น ทำให้ระดับ glucocorticoid ในพลาสม่าเพิ่มขึ้น ส่งผลยับยั้งกระบวนการ neurogenesis และ dendritic remodeling ใน hippocampus ทำให้เซลล์บริเวณ hippocampus ทำให้เซลล์บริเวณ hippocampus เกิดการฝ่อลงหรือตายลง
                   ในแง่ของความสัมพันธ์กับอาการแสดง คาดว่าในผู้ป่วยโรคซึมเศร้าน่าจะมีความผิดปกติบริเวณlimbic system ซึ่งเกี่ยวข้องกับด้านอารมณ์ ความคิด บริเวณ hypothalamus ซึ่งเกี่ยวข้องกับการควบคุมการหลั่งฮอร์โมนตลอดจน biological pattern และบริเวณ basal pattern และบริเวณbasal ganglia ซึ่งเกี่ยวข้องกับ psychomotor activity
          2. ปัจจัยด้านจิตสังคม
                   ผู้ป่วยมักมีแนวคิดที่ทำให้ตนเองซึมเศร้า เช่น มองตนเองในแง่ลบ มองอดีตเห็นแต่ความบกพร่องของตนเอง หรือ มองโลกในแง่ร้าย เป็นต้น
                   แต่ละ personality disorder มีความเสี่ยงต่อการเกิด depression พอๆกัน และส่วนหนึ่งของผู้ป่วยมีการสูญเสียบิดามารดาก่อนอายุ 11 ปี

ลักษณะอาการของโรค
ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าจะมีอารมณ์ซึมเศร้าหดหู่ หมดความสนุก หรือหมดอาลัยตายอยาก (Anhedonia) คงอยู่นานตั้งแต่สองสัปดาห์ขึ้นไป โดยมีอาการด้านต่างๆ ดังนี้
การอารทางกาย (Neurovegetative or Somatic Symptoms) เช่น เบื่ออาหาร นอนไม่หลับ น้ำหนักลด ปวดหัว/ปวดศรีษะ ปวดท้อง อ่อนเพลีย 
อาการทางบุคลิกภาพ เช่น มีอาการพูดช้า พูดเสียงเบา คิดช้า เคลื่อนไหวช้า แยกตัว บางรายมีอาการหงุดหงิด กระสับกระส่าย  นั่งไม่ติด ต้องเดินไปมา
อาการทางความคิด ผู้ป่วยซึมเศร้ามักมีความคิดมองโลกแง่ร้าย วิตกกังวล ขาดสมาธิและความมั่นใจ ในรายที่มีอาการมากๆ อาจหลงผิดมากจนเข้าขั้นโรคจิต(Psychosis) เช่น คิดว่าคนอื่นจะมาทำร้ายตนเอง และคิดฆ่าตัวตายได้
ในเด็กและวัยรุ่น อาการแสดงจะแตกต่างจากผู้ใหญ่  โดยเด็กเล็กมักแสดงออกด้วยอาการไม่ยอมไปโรงเรียน กังวลการแยกจากพ่อแม่ (Separation Anxiety) แต่ในเด็กโตจะมีอาการปวดตามตัว รู้สึกว่าตัวเองไม่เก่ง และตามมาด้วยปัญหาการเรียนสำหรับวัยรุ่นอาจแสดงออกเป็นอารมณ์ฉุนเฉียว แยกตัว หนีเรียน และรุนแรงจนถึงการใช้ยาเสพติด

ระยะการดำเนินโรค
อารมณ์เศร้าหรือเบื่อหน่ายจะเป็นเกือบทั้งวัน และเป็นติดต่อกันเกือบทุกวันนานหว่า 2 สัปดาห์ขึ้นไป 

การวินิจฉัย
เกณฑ์การวินิจฉัยโรคซึมเศร้า
มีอาการต่อไปนี้อย่างน้อย 5 ข้อ โดยอย่างน้อยต้องมีข้อ 1) หรือ ข้อ 2) หนึ่งข้อ ทั้งนี้ต้องมีอาการต่อเนื่องเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 2 สัปดาห์
-                   ซึมเศร้า ความสนใจหรือความเพลินใจในสิ่งต่างๆลดลงอย่างมาก  เบื่ออาหาร หรือน้ำหนักลดลงมากกว่า 5% ใน 1 เดือน
-                   นอนไม่หลับ หรือ นอนมากกว่าปกติ  Psychomotor agitation หรือ retardation (อาการทางจิตประสาท เช่น หวาดระ แวง เห็นภาพหลอน หรือ หูแว่ว)
-                  อ่อนเพลีย ไม่มีแรงรู้สึกตนเองไร้ค่า หรือ รู้สึกผิด  สมาธิลดลง ลังเลใจคิดเรื่องการตาย หรือการฆ่าตัวตาย
อาการเหล่านี้ ทำให้ผู้ป่วยทุกข์ทรมาน หรือทำให้การประกอบอาชีพ การเข้าสังคม หรือหน้าที่ด้านอื่นที่สำคัญ บกพร่องลงอย่างชัดเจน

การรักษา
          1. การรับไว้รักษาในโรงพยาบาล ในรายที่อาการมาก เช่น กระวนกระวายมาก ไม่กินอาหาร ผอมลงมาก หรือมีความคิดฆ่าตัวตายบ่อยๆ ให้รับไว้รักษาตัวในโรงพยาบาล ในกรณีที่มีความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายสูง ต้องมีผู้ดูแลใกล้ชิดตลอด 24 ชั่วโมง
          2. การรักษาด้วยยา การรักษาแบ่งออกเป็น 3 ระยะตามการดำเนินโรค
                   ก. การรักษาระยะเฉียบพลัน เป็นการรักษาเริ่มตั้งแต่เมื่อผู้ป่วยมาพบขณะมีอาการไปจนถึงหายจากอาการ คือเข้าสูระยะ remission ยาหลักที่ใช้ในการรักษาได้แก่ ยาแก้ซึมเศร้า ขนาดที่นิยมใช้ในปัจจุบันได้แก่ fluoxetine เนื่องจากมีผลข้างเคียงต่ำ กินเกินขนาดไม่เสียชีวิต เริ่มโดยให้ขนาด 20 มก.กินวันละ 1 มื้อหลังอาหารเช้า ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการกระวนกระวาย หรือวิตกกังวลมากร่วมด้วยอาจให้ diazepam 2 มก. กิน เช้า-เย็น ร่วมด้วยในช่วง 2 สัปดาห์แรก หากมีอาการนอนไม่หลับอาจให้ amitriptyline 10 มก. หรือ  diazepam 2-5 มก. กินก่อนนอน
                   ในระยะนี้ ยาแก้ซึมเศร้าได้ผลในการรักษาประมาณร้อยละ 70-80 ในผู้ป่วยที่อาการดีขึ้นไม่มากควรเพิ่มขนาดขึ้นถึง 40-60 มก./วัน หากให้นาน 4 สัปดาห์ แล้วยังไม่ตอบสนองอาจเปลี่ยนเป็นยาแก้ซึมเศร้าขนาดอื่น
                   ผู้ป่วยที่มีอาการโรคจิตร่วมด้วยนั้นการรักษาต้องให้ยารักษาโรคจิตควบคู่กันไป โดยทั่วไปขนาดไม่สูงเท่าที่ใช้รักษาผู้ป่วยโรคจิตเภท เมื่ออาการทางจิตดีขึ้นแล้วให้ค่อยๆ ลดยาลงจนหยุดยา
                   ข. การรักษาระยะต่อเนื่อง เป็นการให้การรักษาต่ออีกประมาณ 4-9 เดือนหลังจากผู้ป่วยหายแล้ว ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ผู้ป่วยเข้าสู่ระยะ recover ทั้งนี้พบว่าหากหยุดการรักษาก่อนนี้ผู้ป่วยมีโอกาสเกิดrelapse สูงมาก เมื่อครบระยะเวลาแล้วให้ค่อยๆ ลดยาลงทุก 2-3 สัปดาห์จนหยุดการรักษา ขณะลดยาหากผู้ป่วยเริ่มกลับมามีอาการอีก ให้เพิ่มยาขึ้นแล้วคงยาอยู่ในระยะหนึ่ง เช่น 2-3 เดือนแล้วลองลดยาใหม่
ตารางที่ 12.2 ข้อบ่งชี้ในการให้ยาแก้ซึมเศร้าป้องกันระยะยาว
          1. มีอาการมาแล้ว 3 ครั้ง
          2. มีอาการมาแล้ว 2 ครั้ง ร่วมกับมีภาวะต่อไปนี้
                   - ประวัติ recurrent major depression และ  bipolar disorder ในญาติใกล้ชิด
                   - มีประวัติ recurrence ภายใน 1 ปี หลังจากหยุดการรักษา
                   - เริ่มมีอาการครั้งแรกขณะอายุยังน้อย (ต่ำกว่า 20 ปี)
                   - มีอาการที่เป็นเร็ว รุนแรง หรืออันตรายต่อผู้ป่วยมา 2 ครั้ง ภายในช่วงเวลา 3 ปี
                   ระยะเวลาให้ยาป้องกันอย่างน้อยควรนาน 2-3 ปี จากนั้นจึงจะประเมินอีกครั้งหนึ่งว่าสมควรให้ยาป้องกันต่ออีกหรือไม่ ถ้าเป็นมากกว่า 3 ครั้งควรให้นานอย่างน้อย 5 ปี
          3. การรักษาด้วยไฟฟ้า (Electroconvulsive therapy: ECT)ใช้ในผู้ป่วยที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยา ทนต่ออาการข้างเคียงของยาไม่ได้ หรือมีความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายสูง ได้ผลดีในผู้ป่วยที่อาการรุนแรง เป็นแบบ melancholic หรือมีอาการโรคจิต แต่ ECT ไม่ได้ช่วยป้องกัน recurrenceจึงควรให้การรักษาด้วยยาต่อหลังจากผู้ป่วยอาการดีขึ้น
          4. จิตบำบัด ชนิดที่ได้ผลดีใน depressive disorder ได้แก่
                   1) Cognitive-behavior therapy เชื่อว่าอาการของผู้ป่วยมีสาเหตุจากการมีแนวคิดที่ไม่ตรงตามความเป็นจริง การรักษา มุ่งแก้ไขแนวคิดของผู้ป่วยให้สอดคล้องกับความจริงมากขึ้น รวมถึงการปรับพฤติกรรม ใช้ทักษะใหม่ในการแก้ปัญหา
                   2) Interpersonal therapy เป็นการรักษาที่เน้นปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้ป่วยกับผู้อื่น มุ่งให้ผู้ป่วยมีการปรับตัวต่อสิ่งแวดล้อมและผู้อื่นที่ดีขึ้น ไม่เน้นถึงความขัดแย้งในจิตใจ

                   3) Short-term psychodynamic psychotherapy หลักการเช่นเดียวกับpsychodynamic psychotherapy แต่ระยะเวลาโดยทั่วไปนานไม่เกิน 6 เดือน ผู้รักษาจะมีส่วนในการช่วยผู้ป่วยสืบค้นถึงความขัดแย้งในจิตใจ แก้ไขโครงสร้างบุคลิ

Generalized Anxiety disorders

โรคกังวลทั่วไป (Generalized Anxiety Disorder : GAD) ผู้ป่วยมีอาการกังวลเกินกว่าเหตุในหลายๆ เรื่องพร้อมกัน ร่วมกับอาการทางกายต่างๆ โดยเฉพาะอาการทางระบบประสาทอัตโนมัติ จนทำให้เกิดปัญหากับผู้ป่วยในหลายๆ ด้าน
สาเหตุ
          1. ปัจจัยด้านจิตใจ แนวคิดทฤษฎีจิตวิเคราะห์มองว่าอาการวิตกกังวลเป็นจากความขัดแย้งใจจิตไร้สำนึกที่ไม่ได้ถูกแก้ไข มีความผิดปกติในแง่ของการรับรู้และแปลผลต่อเหตุการณ์ต่างๆ ในลักษณะมองโลกในแง่ร้าย และยังประเมินความสามารถในการแก้ปัญหาของตนต่ำเกินจริงอีกด้วย จึงทำให้เกิดความรู้สึกกลัวและกังวล
          2. ปัจจัยด้านชีวภาพ ยังไม่ทราบแน่ชัด แต่เชื่อว่าเกี่ยวข้องกับสารสื่อประสาทหลายตัว เช่น GABA, serotonin ส่วนปัจจัยทางพันธุกรรมยังมีการศึกษาน้อยอยู่ เท่าที่มีก็ไม่พบความเกี่ยวข้องที่ชัดเจน

ลักษณะอาการ
          อาการเด่น ได้แก่
          - กลุ่มอาการวิตกกังวล ความวิตกกังวลนี้จะมีมาก(excessive) เป็นอยู่ตลอด(persistent) และเป็นไปกับแทบทุกเรื่อง (pervasive) เช่น กลัวสามีจะประสบอุบัติเหตุ กลัวลูกถูกทำร้าย กลัวตึกถล่ม กลัวตนเองเจ็บป่วย ฯลฯ
          - อาการทางระบบประสาทอัตโนมัติ เช่น ใจสั่น เหนื่อยง่าย เพลีย หายใจขัด เหงื่อออก ท้องไส้ปั่นป่วน
          - อาการระบบกล้ามเนื้อตึงเครียด เช่น ปวดศีรษะ ปวดตามตัว กระสับกระส่าย ตัวสั่น
          - Cognitive hypervigilance เช่น รู้สึกตื่นตัว ตกใจง่าย วอกแวก

ระยะการดำเนินโรค
        อาการจะเป็นอยู่บ่อยๆ นานกว่า 6 เดือน


การวินิจฉัย
          A มีความวิตกกังวลมากเกินกว่าเหตุ (apprehensive expectation) ต่อหลายๆเรื่อง
          B ผู้ป่วยรู้สึกว่าไม่สามารถควบคุมความกังวลนี้ได้
          C มีอาการทางกายต่างๆ ดังต่อไปนี้ (อย่างน้อย 3 ใน 6 ข้อ, หรือ ในเด็กมีเพียง 1 ใน 6 ข้อ)
                   1) กระสับกระส่าย
                   2) อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย
                   3) มีปัญหาด้านสมาธิ ความจำ
                   4) หงุดหงิด
                  5) ปวดเมื่อย ตึงตามกล้ามเนื้อ
                   6) มีปัญหาเกี่ยวกับการนอน

การรักษา
          การรักษาที่ดีที่สุด คือ การรักษาโดยจิตบำบัดร่วมกับการใช้ยา
          1. จิตบำบัด
          Cognitive behavior therapy โดยแก้ไขการมองโลกที่ผิดไปของผู้ป่วย ให้กลับมามองอย่างถูกต้อง ร่วมกับการใช้ relaxation technique เพื่อลดอาการทางกาย
          Psychodynamic psychotherapy โดยพยายามช่วยให้ผู้ป่วยเข้าใจสาเหตุของความวิตกกังวล และสามารถทนกับความกังวลนั้นได้มากขึ้น
          2. การรักษาด้วยยา
          Benzodiazepine เช่น diazepam ขนาด 5-15 มก./วัน จะช่วยลดอาการวิตกกังวลและอาการทางกายได้ดี ซึ่งควรให้ยาต่อเนื่องอย่างน้อย 6 เดือน
          Selective Serotonin Reuptake Inhibitor (SSRI) การใช้ sertraline หรือ paroxetine ได้ผลดี ไม่ค่อยฝช้ fluoxetine เพราะอาจจะทำให้มีอาการ anxiety เพิ่มขึ้น
          การใช้ยา Benzodiazepine หรือ SSRI ควรให้นานต่อเนื่อง 6-12 เดือน หรืออาจจะให้ไปนานกว่านั้นได้ เพราะพบว่าหลังหยุดยาร้อยละ 60-80 มีโอกาสกลับเป็นซ้ำได้อีก ส่วนใหญ่ไม่ค่อยพบอาการดื้อยา (tolerance) ในผู้ป่วยกลุ่มนี้
          Propranolol ใช้เพื่อลดอาการใจสั่น มือสั่น โดยปรับขนาดยาให้สามารถลดชีพจรได้ 5-10 ครั้ง/นาที และต้องระวังผลข้างเคียงคือ depression , nausea และ bradycardia

Personality disorders

บุคลิกภาพแปรปรวน(Personality Disorders) เป็นบุคลิกภาพที่แตกต่างจากบุคลิกภาพของคนส่วนใหญ่เป็นอย่างมาก บางคนเป็นคนสุภาพเรียบร้อย ซื่อสัตยสุจริต ขยันหมั่นเพียร และมีความกระตือรือร้น แต่บางคนก้าวร้าว ดื้อรั้น หรือเฉื่อยชา ฯลฯ บุคลิก ภาพที่มีลักษณะต่างจากของคนทั่วไปมากๆ ถือว่าเป็นบุคลิกภาพแปรปรวน ซึ่งเป็นบุคลิกภาพที่อาจสร้างความเดือดร้อนให้บุคคลที่เป็นเจ้าของและสังคมได้

สาเหตุ
ปัจจุบันเรายังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงของการเกิดบุคลิกภาพแปรปรวน แต่พบว่าปัจจัยที่อาจจะเป็นสาเหตุมีดังนี้
1. ลักษณะที่ติดตัวบุคคลผู้นั้นมาตั้งแต่เกิด เช่น ลักษณะประจำตัวเด็กแต่ละคน หรือการถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ เช่นมีผู้พบว่าคนที่มีบุคลิกภาพแบบอันธพาลมักจะมีบิดามารดาเป็นอันธพาล แม้ว่าจะได้แยกเด็กไปให้คนอื่นเลี้ยงตั้งแต่วัยเด็กแล้วก็ตาม นอกจากนั้นยังพบว่าคนที่มีบุคลิกภาพแบบอันธพาลจะมีลักษณะของคลื่นสมองผิดปกติบ่อยกว่ากลุ่มเปรียบเทียบ 
2. การพัฒนาทางบุคลิกภาพ เช่น การอบรมเลี้ยงดูอย่างขาดความอบอุ่นในวัยทารก อาจทำให้ทารกนั้นกลายเป็นผู้ใหญ่ซึ่งขาดความไว้วางใจสิ่งแวดล้อม หรือยึดติดกับการพัฒนาทางบุคลิกภาพในระยะปาก คือ เป็นคนรับประทานจุกจิก ปากจัด ชอบวิจารณ์ หรือติดสุราและยาเสพติด การเข้มงวดกวดขันเกี่ยวกับการขับถ่ายในวัย ๑-๓ ขวบ ซึ่งเป็นวัยที่ความสุขของเด็กอยู่ที่ทวารหนัก ก็อาจทำให้เด็กคนนั้นกลายเป็นคนพิถีพิถัน เจ้าระเบียบ เคร่งครัดในคุณธรรม หรือกังวลเรื่องความสะอาดมากเกินไป เป็นต้น
3. ประสบการณ์ในวัยเด็กอาจส่งเสริมพฤติกรรมที่ผิดปกติ เช่น 
3.1 เมื่อทำไม่ดีแล้วได้รับรางวัล เช่น เมื่อเด็กต้องการอะไรซึ่งพ่อแม่ไม่ต้องการให้เด็กจะร้องเสียงดังลงดิ้นกับพื้น หรือกระแทกศีรษะกับฝาผนัง ทำให้พ่อแม่จำต้องยอมให้สิ่งที่เด็กต้องการ เมื่อเป็นเช่นนี้บ่อย ๆ เด็กจะมีนิสัยเอาแต่ใจตน และแสดงอารมณ์รุนแรงเมื่อถูกขัดใจ
3.2 การถูกอบรมเลี้ยงดูที่เคร่งครัดเกินไป การที่พ่อแม่เคร่งครัดไม่ผ่อนปรน และขาดเหตุผลต่อเด็ก เมื่อเด็กประพฤติผิดไปจากสิ่งที่พ่อแม่กะเกณฑ์ไว้ก็จะตำหนิหรือลงโทษเด็ก โดยไม่ยอมรับฟังเหตุผลจากเด็ก อาจทำให้เด็กเป็นผู้มีพฤติกรรมก้าวร้าว และประพฤติตรงกันข้าม กับที่พ่อแม่ต้องการ
3.3 การที่บิดามารดาหรือบุคคลที่มีอำนาจในครอบครัวมีบุคลิกภาพผิดปกติ เด็กอาจลอกเลียนลักษณะที่ผิดปกติเหล่านั้นได้
4. ปัจจัยทางจิต-สังคม (psychosocial factor) มีผู้ศึกษาบุคคลที่มีบุคลิกภาพแบบอันธพาล พบว่าบุคคลเหล่านี้ส่วนใหญ่มาจากครอบครัวที่มีฐานะทางเศรษฐกิจสังคมต่ำ อาศัยอยู่ในแหล่งเสื่อมโทรม และมีภูมิลำเนาอยู่ในเมือง บิดามารดามักทะเลาะกันเป็นประจำหรือแยกทางกัน ติดสุราหรือยาเสพติด หรือมีบุคลิกภาพแบบอันธพาล เพราะฉะนั้นปัจจัยทางจิต-สังคมอาจมีส่วนเป็นสาเหตุของบุคลิกภาพแปรปรวนได้เช่นกัน 
5. ความผิดปกติในหน้าที่ของสมอง เช่น โรคลมชัก การอักเสบของสมอง Arte­riosclerotic brain disease, Senile dementia และ Alcoholism ฯลฯ ทำใหบุคลิกภาพเปลี่ยนแปลงได้


ลักษณะอาการ

บางคนเป็นคนสุภาพเรียบร้อย ซื่อสัตยสุจริต ขยันหมั่นเพียร และมีความกระตือรือร้น แต่บางคนก้าวร้าว ดื้อรั้น หรือเฉื่อยชา ฯลฯ บุคลิก ภาพที่มีลักษณะต่างจากของคนทั่วไปมากๆ ถือว่าเป็นบุคลิกภาพแปรปรวน ซึ่งเป็นบุคลิกภาพที่อาจสร้างความเดือดร้อนให้บุคคลที่เป็นเจ้าของและสังคมได้



ระยะการดำเนินโรค
โดยทั่วไปจะเริ่มปรากฏในวัยรุ่นหรืออาจเร็วกว่านั้น และจะดำเนินต่อไปเกือบตลอดวัยผู้ใหญ่ แต่อย่างไรก็ตามลักษณะดังกล่าวจะชัดเจนน้อยลง ในวัยกลางคนและวัยชรา


การวินิจฉัย
มีอาการผิดปกติเหล่านี้อย่างน้อย 2 อย่าง
1.Cognitive : รับรู้เกี่ยวกับตนเอง/บุคคลอื่น/สกานการณ์
2.Interpersonal functioning: มีปัญหาสัมพันธภาพกับผู้อื่น


การรักษา
การรักษาปัญหาบุคลิกภาพแปรปรวนเป็นสิ่งที่ลำบากมาก เพราะบุคคลผู้นั้นมักไม่มีความต้องการจะรักษา การมาพบแพทย์มักเนื่องจากผู้อื่น เช่น บิดามารดา คู่สมรส หรือนายจ้าง รบเร้าให้มา แต่ก็มีบางรายที่มาเพราะกังวลจากผลสะท้อนทางสังคมเกี่ยวกับพฤติกรรมของตน หรือเพราะเริ่มค่อยๆ เข้าใจว่าตนผิดปกติ หลักการรักษาคือ
1. จิตบำบัดอย่างลึก (intensive psychoanalytically oriented psychotherapy)
2. จิตบำบัดเฉพาะตัว (individual therapy) การรักษาจะมุ่งเฉพาะพฤติกรรมที่ผิดปกติมากกว่าจะมุ่งที่ความขัดแย้งภายในจิตใจ
3. จิตบำบัดกลุ่ม



Adjustment disorder

ภาวะการปรับตัวผิดปกติ (adjustment disorder) เป็นปฏิกิริยาปรับตัวผิดปกติต่อความเครียด (psychosocial stressor) เกิดขึ้นภายใน 3 เดือนหลังจากมีความเครียด และคงอยู่นานไม่เกิน 6 เดือน เป็นการตอบสนองอย่างมีพยาธิสภาพ ไม่ใช่ความผิดปกติทางจิตเดิมที่มีอาการกำเริบ จัดอยู่ในกลุ่มโรคทางจิตเวชที่เป็นแบบ non-psychotic ซึ่งสามารถหายเป็นปกติได้ โดยที่อาการทางจิตเวชมักจะเกิดภายในเวลา 3 เดือนหลังจากมีภาวะความกดดันมากระทบ มีสาเหตุชัดเจนจากภาวะความกดดัน ก่อให้ผู้ป่วยเกิดความเครียด จนไม่สามารถปรับตัวได้อย่างเหมาะสม

สาเหตุ
สาเหตุโดยตรงของโรคนี้ ก็คือภาวะความกดดัน ลักษณะความกดดันจากภาวะจิตสังคมที่พบบ่อย ได้แก่ ปัญหาเกิดจากในครอบครัว หน้าที่การงาน ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ปัญหาทางด้านการเงิน ความเจ็บป่วยทางกาย หรือทางจิตใจ ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงของวงจรชีวิตคนเรา เช่น วัยรุ่น การเริ่มมีประจำเดือนครั้งแรก การแต่งงาน เป็นต้น หรือความกดดันอย่างอื่น เช่น ภัยทางธรรมชาติ ระเบิด สงคราม
              สาเหตุความกดดันอาจมีเพียงอย่างเดียว หรือหลายอย่างประกอบกันก็ได้  ความกดดันอาจเกิดจากครอบครัว ทำให้เป็นปัญหากับบุคคลใดบุคคลหนึ่งในครอบครัว หรือกับทุกคนในครอบครัวก็ได้ หรืออาจเป็นปัญหาของชุมชน โดยกลุ่มคนที่พบสถานการณ์ร่วมกันอาจเกิดปัญหาการปรับตัวได้เช่นกัน เช่น ภาวะสงคราม การอพยพย้ายถิ่นที่อยู่ เป็นต้น 
     ความรุนแรงของเหตุการณ์ไม่สามารถทำนายความรุนแรงของปฏิกิริยายาตอบสนองได้ ผู้ที่มีจิตใจอ่อนแออาจจะมีความผิดปกติอย่างมากต่อความกดดันในระดับต่ำหรือระดับปานกลางในขณะที่ผู้อื่นอาจเกิดความผิดปกติเพียงเล็กน้อยทั้งที่ได้รับความกดดันอย่างรุนแรงและต่อเนื่อง ระดับของการตอบสนองต่อความกดดันของคนเรามิได้สัมพันธ์อย่างตรงไปตรงมากับระดับความรุนแรงของความกดดัน แต่จะเป็นความสัมพันธ์ร่วมกันของปัจจัยต่อไปนี้ 
          1. Stressors คือ ลักษณะของความกดดันที่เป็นสาเหตุให้เกิดปัญหา ความรุนแรงของ stressor ไม่ได้สัมพันธ์กับความรุนแรงของ adjustment disorder 
          2. Situational context คือ สภาวะแวดล้อมขณะนั้นของผู้ป่วย เช่น ขณะตั้งครรภ์ใกล้ คลอด ได้ยินข่าวสามีประสบอุบัติเหตุ
           3. Intrapersonal factors คือ เหตุปัจจัยในตัวผู้ป่วยเอง เช่น นิสัย วิธีการปรับตัว เป็นต้น
บุคคลแต่ละคนจะมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อความเครียดไม่เหมือนกัน ความเครียดอย่างเดียวกัน ระดับเดียวกัน บางคนอาจมีปฏิกิริยาต่อความเครียดนั้นอย่างมากมาย แต่บางคนอาจไม่แสดงปฏิกิริยาอะไรเลย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของบุคคลนั้น ๆ เช่น ลักษณะพื้นฐานทางอารมณ์ที่มีมาแต่กำเนิด พันธุกรรม โรคทางร่างกาย ระดับอายุ บุคลิกภาพ เป็นต้น    
การอบรมเลี้ยงดูในวัยเด็กตาม concept ของ Winnicott “GOOD-ENOUGH-MOTHER” การเลี้ยงดูที่ตอบสนองความต้องการของเด็กได้เพียงพอ  จะทำให้เด็กเติบโตและทนต่อความเครียดได้ดี
      โดยเฉเพาะในกลุ่มบุคคลที่มีความผิดปกติทางบุคลิกภาพ หรือมีความผิดปกติทางด้านสมองมาก่อน จะมีความต้านทานต่อความกดดันได้น้อยกว่าคนทั่วไป ทำให้เกิดปัญหาภาวการณ์ปรับตัวผิดปกติได้บ่อยกว่า

ลักษณะอาการ
     เกิดได้กับคนทุกอายุ  มีอาการแสดงออกได้หลายแบบ ได้แก่ ซึมเศร้า วิตกกังวล การเรียนไม่ดี ทำงานไม่ไหว  อาการทางร่างกาย เช่น ปวดหลัง ปวดศีรษะ
     อาการทางคลินิกของภาวะความผิดปกตินี้ มีได้หลายแบบ DSM IV ได้จำแนกออกเป็น 6 กลุ่มย่อย ดังต่อไปนี้ 
          1.Adjustment disorder with anxiety อาการเด่นคือ กระสับกระส่าย วิตกกังวลหงุดหงิด ตึงเครียด และตื่นเต้น  ในเด็กกลัวการพลัดพรากจากผู้ที่ตนเองรัก 
          2. Adjustment disorder with depressed mood อาการที่เด่นเป็น อารมณ์เศร้า เสียใจ และรู้สึกสิ้นหวัง
          3. Adjustment disorder with disturbance of conduct อาการเด่นได้แก่ มีความ ประพฤติที่ละเมิดสิทธิ์ของผู้อื่น ละเมิดต่อผู้ใหญ่ หรือละเมิดต่อกฎเกณฑ์ต่างๆ ตัวอย่าง เช่น หนีโรงเรียน ไม่รับผิดชอบ แสดงความป่าเถื่อน ขับรถอย่างบ้าระห่ำ ใช้กำลังเข้าต่อสู้ ละเลยความรับผิดชอบตามกฎหมาย 
          4. Adjustment disorder with mixed disturbance of emotions and conduct อาการที่ เด่นเป็นอาการ
ต่างๆ ทางอารมณ์ เช่น อารมณ์เศร้า วิตกกังวล และความแปรปรวนของความประพฤติ
           5. Adjustment disorder with mixed anxiety and depress mood อาการเด่นเป็นอาการร่วมกันของอารมณ์เศร้าและอาการวิตกกังวล 
          6. Adjustment disorder unspecified คือความผิดปกติต่างๆ ซึ่งเป็นปฏิกิริยาในการปรับตัวที่ไม่เหมาะสมต่อ psychosocial stressors ซึ่งมิได้จัดระบบไว้เป็น adjustment disorder อย่างเฉพาะเจาะจง ไม่เข้ากับประเภทใดประเภทหนึ่งข้างต้น มีอาการ บ่นถึงอาการเจ็บป่วย ทางร่างกาย แยกตัวจากสังคม ปฏิบัติงานหรือ เรียนได้น้อยลง

ระยะการดำเนินโรค 
               - บางรายมีอาการเพียง 2-3 วัน หรือ 2-3 สัปดาห์ แต่จะไม่นานเกิน 6 เดือน
               - จากการติดตามผู้ป่วยที่เคยได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น adjustment disorder ไป 3-4 ปี พบว่าร้อยละ 25 ที่กลับมาด้วยปัญหาเดิม และในกลุ่มนี้อาจเปลี่ยนแปลงการวินิจฉัยเป็นความผิดปกติอย่างอื่น เช่น personality disorder ร้อยละ 47 และ neurotic disorder ร้อยละ 25

การวินิจฉัย
               A. มีอาการทางพฤติกรรมหรืออารมณ์ภายใน 3 เดือน หลังจากเผชิญกับเรื่องเครียด มีการเปลี่ยนแปลงทางด้านอารมณ์และพฤติกรรมตอบสนองตอบต่อภาวะความกดดันที่ปรากฏชัดเจน (หนึ่งอย่างหรือมากกว่า) ภายใน 3 เดือน นับแต่เริ่มต้นของภาวะความกดดัน
                B. อาการทำให้เกิดผลข้อใดข้อหนึ่งหรือทั้ง 2 ข้อ ต่อไปนี้ 
      1. มีปฏิกิริยามากเกินไปต่อความเครียดนั้น คือ อาการตึงเครียดมากเกินกว่าการตอบสนองต่อภาวะความกดดันตามปกติวิสัย ที่เป็นที่ยอมรับกันทั่วไป
      2. มีความบกพร่องของสังคม อาชีพ การศึกษา คือ หน้าที่การงาน การเรียน การเข้าสังคม
               C. ความผิดปกติที่ตอบสนองต่อภาวะความกดดันไม่เข้าเกณฑ์วินิจฉัยโรคทางจิตเวชใน Axis I อื่นๆ และไม่ใช่การเพิ่มขึ้นของความผิดปกติใน Axis I และ Axis II
               D. ไม่ใช่ bereavement (อาการไม่ใช่เป็นการตอบสนองทั่วไปต่อการสูญเสียบุคคลที่ตนรัก)
               E. เมื่อสถานการณ์ที่ทำให้เครียดหมดไป อาการคงอยู่นานไม่เกิน 6 เดือน
        Acute ถ้ามีอาการน้อยกว่า 6 เดือน  
        chronic ถ้าอาการเป็นมากกว่า 6 เดือน

การรักษา
  เป้าหมายอันดับแรก : ลดอาการของผู้ป่วยและช่วยเหลือให้ผู้ป่วยมีการปรับตัวที่ดีขึ้นอย่างน้อยก็เท่าระดับเดิมก่อนที่จะเกิดปัญหา 
                เป้าหมายถัดไป : ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในวิธีการต่อสู้ปัญหาของผู้ป่วย รวมทั้งเหตุการณ์ และสภาพแวดล้อมถ้าสามารถทำได้
         1. individual psychotherapy เป็น treatment of choice สำหรับโรคนี้โดยค้นหาความหมายของ
stressor มีความสัมพันธ์กับเหตุการณ์ในวัยเด็กอย่างไร ผู้ป่วยใช้กลไกการปรับตัวและแก้ไขปัญหาอย่างไร ต้องระวังเรื่อง secondary gain เพื่อให้ตนเองไม่ต้องรับผิดชอบงานบางอย่าง
             crisis intervention จิตบำบัดแบบสั้นเพื่อให้ผู้ป่วยหายโดยเร็ว โดยใช้เทคนิค supportive technique , suggestion , reassurance , environmental modification , hospitalization ต้องมี flexibility
         2. กลุ่มบำบัด (group psychotherapy) ในกลุ่มผู้ป่วยที่มีความเครียดเหมือน ๆ กัน เช่น กลุ่มผู้ป่วยที่ล้างไตเหมือนกัน กลุ่มผู้ป่วยที่เกษียณอายุราชการเหมือน ๆ กัน ทำให้มีการระบายความเครียด ความเข้าใจและเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน
         3. ยา ตามอาการ เช่น ยาลดความวิตกกังวล ยาลดความซึมเศร้าในช่วงสั้น ๆ ก็จะทำให้ผู้ป่วย
คลายกังวลและ ปรับตัวได้เร็วขึ้น
วิธีการรักษาเน้นที่จิตบำบัดแบบประคับประคอง โดยอาศัยขบวนการเหล่านี้ คือ
                1. หาสาเหตุของภาวะความกดดันให้ชัดเจน เข้าใจถึงผลที่เกิดขึ้น รวมทั้งวิธีการตอบสนองของผู้ป่วย
 2. ประเมินระดับความรุนแรงและระยะเวลาความผิดปกติที่เกิดขึ้น 
3.หากพบความผิดปกติทางจิตเวชอื่นๆ ที่เกิดขึ้นให้ทำการรักษา 
4.ประเมินบุคลิกภาพทั้งหมดของผู้ป่วย 
5. ให้ผู้ป่วยเข้าใจและสามารถระบายปัญหาภาวะความกดดันทางจิตใจออกมาได้
6.ให้คำแนะนำหรือกระตุ้นให้ผู้ป่วยมีวิธีการแก้ปัญหาที่ดีขึ้น 
               7. ส่งเสริม ให้กำลังใจ เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถเผชิญต่อภาวะความกดดันนั้นได้ 
               8. อาจนำเอาขบวนการรักษาอย่างอื่นมาประกอบการช่วยเหลือ เช่น 
                             8.1 Family therapy ให้สมาชิกในครอบครัวร่วมกันแก้ไขปัญหา
                             8.2Behavior therapy 
8.3 Self help groups ให้มีการทำกลุ่มบำบัดร่วมกันในกลุ่มที่มีปัญหาคล้ายกัน 
  9. กรณีผู้ป่วยมีอาการซึมเศร้า วิตกกังวลสูง อาจพิจารณาให้ยาคลายกังวล หรือยาแก้เศร้า ในระยะแรกเพื่อลดอาการที่เจ็บป่วย ช่วยให้ผู้ป่วยมีความสามารถในการปรับตัวที่ดีขึ้น