ปัญญาอ่อน(Mental Retardation) คือสภาวะที่เชาวน์ปัญญาต่ำกว่าปกติ ซึ่งเกิดขึ้นตั้งแต่แรกเกิดหรือในวัยเด็ก
ทำให้การเรียนรู้ การปรับตัวในสังคม
ซึ่งหมายถึงการสามารถพึ่งตนเองและความสามารถรับผิดชอบต่อสังคมตามควรแก่วัยหรือตามที่สังคมของตนหวังไว้บกพร่องไป
รวมทั้งการพัฒนาทางบุคลิกภาพ ก็ไม่เจริญสมวัย
ทั้งมักพบความผิดปกติในอารมณ์ร่วมด้วย ความรุนแรงของโรคคิดตามระดับ IQ
สาเหตุ
1. ปัจจัยทางชีววิทยา พบได้ร้อยละ ๒๐-๒๕
ของผู้ป่วยปัญญาอ่อน ที่พบบ่อยคือ ความผิดปกติของโครโมโซมและเมตาบอลิส์ม ได้แก่ Down’s
syndrome และ Phenylketonuria ในรายเหล่านี้มักจะวินิจฉัยได้ตั้งแต่เกิด
หรือตั้งแต่ยังเล็กมาก
ความรุนแรงของโรคจะอยู่ระหว่างปัญญาอ่อนขนาดปานกลางถึงขนาดรุนแรง
และพบในคนทุกระดับเศรษฐกิจสังคม
ในแม่ที่ดื่มสุราจัดขณะตั้งครรภ์ทารกอาจปัญญาอ่อนได้
ปัจจัยทางชีววิทยาจำแนกเป็น
1.1 ความผิดปกติในโครโมโซม เช่น Downs syndrome หรือ Mongolism, Turners syndrome และ Klinefelter’s
syndrome
1.2 การติดเชื้อหรือสภาวะเป็นพิษ (intoxication) ในมารดา
ได้แก่ โรค Rubella, Toxoplasmosis, Syphilis, Cytomegalic inclusion
body disease และ Toxemia pregnancy (ภาวะครรภ์เป็นพิษ)
1.3 การติดเชื้อหรือสภาวะเป็นพิษในทารก ได้แก่ การติดเชื้อชนิดต่างๆ
ของสมองและเยื่อหุ้มสมอง Kernicterus และ Post-immunization
1.4 ความผิดปกติในเมตาบอลิสม์และโภชนาการ ได้แก่ โรค Lipoidoses,
Phenylketonuria, galactosemia, Hypothyroidism (cretinism) และการขาดอาหาร
1.5 ความกระทบกระเทือนต่อสมองจากการคลอด เช่น
การกระทบกระเทือนจากเครื่องมือที่ช่วยการคลอด ภาวะขาดอ๊อกซิเจน (asphyxia)
1.6 ความบกพร่องของระบบประสาท ได้แก่ Sturge-Weber syndrome, Tuberous
sclerosis (epiloia), Laurence-Moon-Biedle syndrome
1.7 ความบกพร่องของกระดูก ได้แก่ Genetic microcephaly,
Hypertelolism และ Oxycephaly
1.8 การคลอดก่อนกำหนด (prematurity)
2. ปัจจัยทางจิต-สังคม (psychosocial
factor) หมายถึง พวกที่ไม่พบสาเหตุทางชีววิทยาชัดIจน IQ ของผู้ป่วยที่เกิดจากปัจจัยนี้จะต่ำไม่มาก
คือ อยู่ระหว่าง ๕๐-๗๐ และมักจะสังเกตได้เมื่อเข้าโรงเรียน
พบในพวกที่มีฐานะทางเศรษฐกิจสังคมต่ำมากกว่า และมีประวัติปัญญาอ่อนในครอบครัวด้วย
ปัจจัยนี้ประกอบด้วย
2.1 การขาดความสัมพันธ์กับสังคมหรือสิ่งแวดล้อม (psychosocial or
environmental deprivation) แบบต่างๆ เช่น การขาดการสังคม
ไม่ได้รับการสอน ไม่ได้ยินได้ฟัง หรือขาดการกระตุ้นทางเชาวน์ปัญญา
2.2 หลังการเจ็บป่วยทางจิตอย่างรุนแรง
3. เกิดจากทั้ง 2 ปัจจัยร่วมกัน เช่น
เกิดความผิดปกติทางชีววิทยาและขาดการกระตุ้นทางเชาวน์ปัญญาด้วย
ลักษณะอาการ
ผู้ป่วยพวกนี้จะมีความสามารถในการเรียนรู้ด้อยกว่าเด็กปกติ
พึ่งตนเองไม่ค่อยได้ รับผิดชอบต่อสังคมได้น้อยกว่าที่ควรจะทำได้ตามวัยของตน
และการเจริญทางบุคลิกภาพและอารมณ์ ไม่สมวัย
นอกจากนั้นยังมักพบปัญหาโรคจิต
โรคประสาทร่วมด้วย อาจมีปัญหาทางพฤติกรรม เช่น หงุดหงิดง่าย ก้าวร้าว temper
tantrum, stereotyped movement หรือ hyperactivity และบ่อยๆ ที่มีความผิดปกติของระบบประสาทโดยเฉพาะในพวกที่เป็นรุนแรง เช่น
หูหนวกหรือ สายตาไม่ดี ชัก หรือ cerebral palsy ยิ่งกว่านั้นการพัฒนาทางร่างกายยังช้าด้วย
ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักจะไม่สามารถทำอะไรได้ตามลำพัง
เพราะฉะนั้นจำเป็นต้องได้รับคำแนะนำและการช่วยเหลือในด้านการเงินอยู่เสมอ
ระยะการดำเนินโรค
โรคปัญญาอ่อนเกิดขึ้นได้ทุกช่วงอายุของเด็ก
ตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา จนกระทั่งสมองได้พัฒนาเต็มที่ คือ อายุประมาณ 18 ปี
การวินิจฉัย
การวินิจฉัยว่าเด็กพิการประเภทปัญญาอ่อนจะต้องมีหลักฐานปรากฎชัดเจน
3
ด้าน คือ
1. ความสามารถทางสติปัญญาต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ย
คือมีเชาว์ปัญญาต่ำกว่า 70
2.
ความสามารถทางทักษะในการปรับตัว อย่างน้อย 2 ใน
10 ดังต่อไปนี้
- การสื่อความหมาย
- การสื่อความหมาย
- การดูแลตนเอง
-
การดำรงชีวิตภายในบ้าน
- ทักษะทางสังคมและการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น
- การรู้จักควบคุมตนเอง
- การรู้จักใช้แหล่งทรัพยากรในชุมชน
- การนำความรู้มาใช้ในชีวิตประจำวัน
- การทำงาน
- ด้านสุขภาพอนามัยและความปลอดภัย
3. อาการต้องปรากฎก่อนอายุ 18 ปี
การรักษา
1.ปัจจุบันนี้พบว่า
ถ้าสามารถค้นพบว่าเด็กเป็นปัญญาอ่อนได้เร็ว สามารถให้การกระตุ้นพัฒนาการได้เร็ว
จะช่วยให้เด็กมีระดับสติปัญญาดีขึ้นมากกว่าปล่อยไว้เฉยๆ
ผู้ที่สามารถตรวจพบได้เร็วคือ พ่อแม่ ซึ่งต้องคอยสังเกตพัฒนาการเด็กทุกด้าน
ในขวบปีแรก ถ้าไม่แน่ใจควรปรึกษากุมารแพทย์
หรือแพทย์ที่เป็นผู้นัดตรวจบุตรหลานของท่าน ในคลีนิคเด็กดีในขวบปีแรกนั่นเอง
2.การกระตุ้นพัฒนาการ
ได้ผลดีมากในเด็กเล็ก ควรให้การวินิจฉัยภายในขวบปีแรก
เมื่อสังเกตเห็นเด็กมีพัฒนาการช้ากว่าเกณฑ์ปกติ การตรวจในคลินิคเด็กดีในขวบปีแรก
ทุก 2-4 เดือน กุมารแพทย์จะประเมินพัฒนาการด้วยเสมอ เพื่อตรวจคัดกรองโรคปัญญาอ่อน
และรีบให้การช่วยเหลือโดยการกระตุ้นพัฒนาการอย่างเป็นระบบ ถ้าไม่รีบช่วยเหลือ
พัฒนาการจะช้า แม้จะมากระตุ้นเมื่ออายุมากขึ้นมักจะได้ผลน้อย
3.การจัดการเรียนให้เหมาะสมกับสติปัญญาและความสามารถ
เด็กบางคนอาจเรียนร่วมได้ในโรงเรียนปกติ บางคนอาจต้องเรียนในโรงเรียนสำหรับเด็กพิเศษ
บางคนเหมาะสำหรับฝึกอาชีพ แต่คนที่เป็นมากๆ บางคนต้องอยู่ในโรงพยาบาล
หรือสถาบันฝึกสำหรับคนปัญญาอ่อนโดยตรง
-ไอคิว
50-70
- เรียนได้จบชั้นประถม 6
-ไอคิว
30-50
- ฝึกให้มีอาชีพเลี้ยงตัวเอง ช่วยตัวเอง ปกป้องตัวเองได้
แต่ไม่สามารถเรียนในระบบการเรียนปกติ
-ไอคิว
20-30
- ฝึกให้ช่วยตัวเองได้ ไม่สามารถเรียนในระบบการเรียนปกติ
-ไอคิว
ต่ำกว่า 20
- ช่วยตัวเองไม่ได้ ต้องมีผู้ดูแลพิเศษ หรืออยู่ในโรงพยาบาล
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น