วันพุธที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2559

Mental Retardatinon

ปัญญาอ่อน(Mental Retardation) คือสภาวะที่เชาวน์ปัญญาต่ำกว่าปกติ ซึ่งเกิดขึ้นตั้งแต่แรกเกิดหรือในวัยเด็ก ทำให้การเรียนรู้ การปรับตัวในสังคม ซึ่งหมายถึงการสามารถพึ่งตนเองและความสามารถรับผิดชอบต่อสังคมตามควรแก่วัยหรือตามที่สังคมของตนหวังไว้บกพร่องไป รวมทั้งการพัฒนาทางบุคลิกภาพ ก็ไม่เจริญสมวัย ทั้งมักพบความผิดปกติในอารมณ์ร่วมด้วย ความรุนแรงของโรคคิดตามระดับ IQ

สาเหตุ
1. ปัจจัยทางชีววิทยา พบได้ร้อยละ ๒๐-๒๕ ของผู้ป่วยปัญญาอ่อน ที่พบบ่อยคือ ความผิดปกติของโครโมโซมและเมตาบอลิส์ม ได้แก่ Down’s syndrome และ Phenylketonuria ในรายเหล่านี้มักจะวินิจฉัยได้ตั้งแต่เกิด หรือตั้งแต่ยังเล็กมาก ความรุนแรงของโรคจะอยู่ระหว่างปัญญาอ่อนขนาดปานกลางถึงขนาดรุนแรง และพบในคนทุกระดับเศรษฐกิจสังคม ในแม่ที่ดื่มสุราจัดขณะตั้งครรภ์ทารกอาจปัญญาอ่อนได้
ปัจจัยทางชีววิทยาจำแนกเป็น
1.ความผิดปกติในโครโมโซม เช่น Downs syndrome หรือ Mongolism, Turners syndrome และ Klinefelter’s syndrome
1.การติดเชื้อหรือสภาวะเป็นพิษ (intoxication) ในมารดา ได้แก่ โรค Rubel­la, Toxoplasmosis, Syphilis, Cytomegalic inclusion body disease และ Toxemia pregnancy (ภาวะครรภ์เป็นพิษ)
1.การติดเชื้อหรือสภาวะเป็นพิษในทารก ได้แก่ การติดเชื้อชนิดต่างๆ ของสมองและเยื่อหุ้มสมอง Kernicterus และ Post-immunization
1.ความผิดปกติในเมตาบอลิสม์และโภชนาการ ได้แก่ โรค Lipoidoses, Phe­nylketonuria, galactosemia, Hypothyroidism (cretinism) และการขาดอาหาร
1.ความกระทบกระเทือนต่อสมองจากการคลอด เช่น การกระทบกระเทือนจากเครื่องมือที่ช่วยการคลอด ภาวะขาดอ๊อกซิเจน (asphyxia)
1.ความบกพร่องของระบบประสาท ได้แก่ Sturge-Weber syndrome, Tube­rous sclerosis (epiloia), Laurence-Moon-Biedle syndrome
1.ความบกพร่องของกระดูก ได้แก่ Genetic microcephaly, Hypertelolism และ Oxycephaly
1.การคลอดก่อนกำหนด (prematurity)
2. ปัจจัยทางจิต-สังคม (psychosocial factor) หมายถึง พวกที่ไม่พบสาเหตุทางชีววิทยาชัดIจน IQ ของผู้ป่วยที่เกิดจากปัจจัยนี้จะต่ำไม่มาก คือ อยู่ระหว่าง ๕๐-๗๐ และมักจะสังเกตได้เมื่อเข้าโรงเรียน พบในพวกที่มีฐานะทางเศรษฐกิจสังคมต่ำมากกว่า และมีประวัติปัญญาอ่อนในครอบครัวด้วย
ปัจจัยนี้ประกอบด้วย
2.การขาดความสัมพันธ์กับสังคมหรือสิ่งแวดล้อม (psychosocial or environmental deprivation) แบบต่างๆ เช่น การขาดการสังคม ไม่ได้รับการสอน ไม่ได้ยินได้ฟัง หรือขาดการกระตุ้นทางเชาวน์ปัญญา
2.หลังการเจ็บป่วยทางจิตอย่างรุนแรง
3. เกิดจากทั้ง 2 ปัจจัยร่วมกัน เช่น เกิดความผิดปกติทางชีววิทยาและขาดการกระตุ้นทางเชาวน์ปัญญาด้วย

ลักษณะอาการ
ผู้ป่วยพวกนี้จะมีความสามารถในการเรียนรู้ด้อยกว่าเด็กปกติ พึ่งตนเองไม่ค่อยได้ รับผิดชอบต่อสังคมได้น้อยกว่าที่ควรจะทำได้ตามวัยของตน และการเจริญทางบุคลิกภาพและอารมณ์ ไม่สมวัย
นอกจากนั้นยังมักพบปัญหาโรคจิต โรคประสาทร่วมด้วย อาจมีปัญหาทางพฤติกรรม เช่น หงุดหงิดง่าย ก้าวร้าว temper tantrum, stereotyped movement หรือ hyperactivity และบ่อยๆ ที่มีความผิดปกติของระบบประสาทโดยเฉพาะในพวกที่เป็นรุนแรง เช่น หูหนวกหรือ สายตาไม่ดี ชัก หรือ cerebral palsy ยิ่งกว่านั้นการพัฒนาทางร่างกายยังช้าด้วย
ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักจะไม่สามารถทำอะไรได้ตามลำพัง เพราะฉะนั้นจำเป็นต้องได้รับคำแนะนำและการช่วยเหลือในด้านการเงินอยู่เสมอ

ระยะการดำเนินโรค
โรคปัญญาอ่อนเกิดขึ้นได้ทุกช่วงอายุของเด็ก ตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา จนกระทั่งสมองได้พัฒนาเต็มที่ คือ อายุประมาณ 18 ปี 

การวินิจฉัย
การวินิจฉัยว่าเด็กพิการประเภทปัญญาอ่อนจะต้องมีหลักฐานปรากฎชัดเจน 3 ด้าน คือ 
1. ความสามารถทางสติปัญญาต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ย คือมีเชาว์ปัญญาต่ำกว่า 70
2. ความสามารถทางทักษะในการปรับตัว อย่างน้อย 2 ใน 10 ดังต่อไปนี้
               - การสื่อความหมาย
                 - การดูแลตนเอง
 - การดำรงชีวิตภายในบ้าน
- ทักษะทางสังคมและการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น
- การรู้จักควบคุมตนเอง
- การรู้จักใช้แหล่งทรัพยากรในชุมชน
- การนำความรู้มาใช้ในชีวิตประจำวัน
- การทำงาน
- ด้านสุขภาพอนามัยและความปลอดภัย
 3. อาการต้องปรากฎก่อนอายุ 18 ปี


การรักษา
1.ปัจจุบันนี้พบว่า ถ้าสามารถค้นพบว่าเด็กเป็นปัญญาอ่อนได้เร็ว สามารถให้การกระตุ้นพัฒนาการได้เร็ว จะช่วยให้เด็กมีระดับสติปัญญาดีขึ้นมากกว่าปล่อยไว้เฉยๆ ผู้ที่สามารถตรวจพบได้เร็วคือ พ่อแม่ ซึ่งต้องคอยสังเกตพัฒนาการเด็กทุกด้าน ในขวบปีแรก ถ้าไม่แน่ใจควรปรึกษากุมารแพทย์ หรือแพทย์ที่เป็นผู้นัดตรวจบุตรหลานของท่าน ในคลีนิคเด็กดีในขวบปีแรกนั่นเอง
2.การกระตุ้นพัฒนาการ ได้ผลดีมากในเด็กเล็ก ควรให้การวินิจฉัยภายในขวบปีแรก เมื่อสังเกตเห็นเด็กมีพัฒนาการช้ากว่าเกณฑ์ปกติ การตรวจในคลินิคเด็กดีในขวบปีแรก ทุก 2-4 เดือน กุมารแพทย์จะประเมินพัฒนาการด้วยเสมอ เพื่อตรวจคัดกรองโรคปัญญาอ่อน และรีบให้การช่วยเหลือโดยการกระตุ้นพัฒนาการอย่างเป็นระบบ ถ้าไม่รีบช่วยเหลือ พัฒนาการจะช้า แม้จะมากระตุ้นเมื่ออายุมากขึ้นมักจะได้ผลน้อย
3.การจัดการเรียนให้เหมาะสมกับสติปัญญาและความสามารถ เด็กบางคนอาจเรียนร่วมได้ในโรงเรียนปกติ บางคนอาจต้องเรียนในโรงเรียนสำหรับเด็กพิเศษ บางคนเหมาะสำหรับฝึกอาชีพ แต่คนที่เป็นมากๆ บางคนต้องอยู่ในโรงพยาบาล หรือสถาบันฝึกสำหรับคนปัญญาอ่อนโดยตรง
-ไอคิว 50-70 - เรียนได้จบชั้นประถม 6
-ไอคิว 30-50 - ฝึกให้มีอาชีพเลี้ยงตัวเอง ช่วยตัวเอง ปกป้องตัวเองได้ แต่ไม่สามารถเรียนในระบบการเรียนปกติ
-ไอคิว 20-30 - ฝึกให้ช่วยตัวเองได้ ไม่สามารถเรียนในระบบการเรียนปกติ
-ไอคิว ต่ำกว่า 20 - ช่วยตัวเองไม่ได้ ต้องมีผู้ดูแลพิเศษ หรืออยู่ในโรงพยาบาล

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น