โรคแพนิค และ agoraphobia โรคนี้มักพบในวัยผู้ใหญ่ตอนต้นและสามารถเกิดร่วมกับโรคอื่นได้
เช่น โรคซึมเศร้า สาเหตุของโรคนี้เกิดจากระบบประสาทอัตโนมัติ (automatic nervous
system) ทำงานผิดปกติไป
เนื่องจากระบบประสาทอัตโนมัติควบคุมการทำงานของร่างกายในหลายส่วน
อาการที่เกิดขึ้นจึงเกิดหลายอย่างพร้อมกันทั้งการเต้นของหัวใจ การหายใจ
การออกของเหงื่อ ฯลฯ การทำงานของระบบดังกล่าวต้องอาศัยสารเคมีในสมองเป็นส่วนสำคัญในการควบคุมการทำงาน
สาเหตุ
1.
ปัจจัยด้านจิตใจ
ทฤษฎี cognitive behavioral เชื่อว่า
ความวิตกกังวลที่เกิดขึ้นนั้นเป็นการเลียนแบบมากจากพ่อแม่ที่มีอาการเหมือนกับผู้ป่วย
หรือจาก classical conditioning เชื่อว่าโรคแพนิค และ agoraphobia
เกิดจากการที่ผู้ป่วยเคยมี panic attack ในขณะที่มีสิ่งกระตุ้นบางอย่าง
หรืออยู่ในสถานที่ใดที่หนึ่ง ก็จะทำให้ผู้ป่วยกลัวว่าจะเกิด panic attack ขึ้นเมื่อเจอสิ่งกระตุ้นนั้น หรือสถานที่นั้นซ้ำอีก
2.
ปัจจัยด้านชีวภาพ
1) Peripheral and central nervous system จากการศึกษาในผู้ป่วยโรคแพนิค พบว่า autonomic nervous system ของผู้ป่วยกลุ่มนี้มี sympathetic tone เพิ่มขึ้นอย่างมากเมื่อถูกกระตุ้นด้วย
stimuli ต่างๆ
2) Neurotransmitters ตัวที่เกี่ยวข้อง
ได้แก่ norepinephrine โดยเฉพาะที่บริเวณ locus ceruleus,
serotonin ที่บริเวณ median raphe nucleus และ
gamma-aminobutyric acid (GABA)
3) Panic inducing substances พบว่ามีสารหลายชนิดที่เมื่อให้กับผู้ป่วยโรคแพนิคแล้วจะเหนี่ยวนำให้เกิด
panic attack ได้ง่ายขึ้น เช่น carbondioxide เข้มข้น 5-35 %, sodium lactate, bicarbonate, alpha-2 adrenergic receptor antagonist (yohimbin), serotonin releasing
agent (fenfluramine) และ caffeine เป็นต้น
ลักษณะอาการ
ผู้ที่เป็นโรคแพนิค
(panic
disorder) จะมีอาการของ panic attack เกิดขึ้นซ้ำบ่อยๆ
และเกิดเองโดยที่ไม่มีสิ่งใดมากระตุ้น เป็นแบบ paroxysmal และผู้ป่วยจะรู้สึกกังวลว่าอาการเหล่านั้นจะเป็นขึ้นมาอีก
หรืออาจกลัวผลซึ่งเกิดตามมาจากการมีอาการ เช่น กลัวว่าจะคุมตัวเองไม่ได้
กลัวจะเป็นโรคหัวใจ กลัวว่าจะเป็นบ้า หรือในบางคนอาจมีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไปซึ่งเกิดจากอาการดังกล่าว
จนมีผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของผู้ป่วยเป็นอย่างมาก
ลักษณะอาการต่างๆ
ดังนี้
1. มี panic attack ได้แก่ แน่นหน้าอก ใจสั่น กลัว หายใจไม่ออก เวียนศีรษะ จุกแน่นท้อง
มือเท้าเย็นชา รู้สึกเหมือนจะควบคุมตัวเองไม่ได้ เหมือนตัวเองกำลังจะตายหรือจะเป็นบ้า
จะเริ่มเป็นอย่างรุนแรงและรวดเร็ว โดยถึงจุดสูงสุดภายใน 10
นาที แล้วความรุนแรงจะค่อยๆ ลดลงจนหายไปใน 60 นาที
2. เกิดอาการบ่อยๆหรือเป็นเพียง
1 ครั้ง ก็ทำให้ผู้ป่วยมีความกลัวว่าจะเป็นซ้ำ
3. ไม่สามารถคาดล่วงหน้าว่าจะเกิดอาการขึ้นเมื่อใด
4. อาการเหล่านี้ไม่ได้เกิดจากยา
สารต่างๆ โรค หรือสาเหตุทางกายอื่นๆ ที่อาจทำให้เกิดอาการ ได้
อาการ
panic นั้นคล้ายอาการของโรคหัวใจ โรคทางเดินหายใจ โรคทางเดินอาหาร
หรือโรคของระบบประสาทการทรงตัวอย่างมาก เนื่องจากพบว่ามีการเชื่อมโยงระหว่างศูนย์ควบคุมระบบประสาทอัตโนมัติกับระบบอวัยวะดังกล่าว
การดำเนินโรค
ระยะที่
1:
limited symptoms attacks อาการยังเป็นไม่มาก ไม่ครบเกณฑ์ของ panic
disorder
ระยะที่
2:
panic disorder มีอาการต่างๆเข้าเกณฑ์การวินิจฉัย
ระยะที่
3:
hypochondriasis เชื่อว่าตนมีโรคร้ายแรงบางอย่างแต่แพทย์ตรวจไม่พบ
เช่นโรคปอด โรคหัวใจ หรืออัมพาต ทำให้ไม่ทำงานตามปกติ
และมักเวียนไปให้แพทย์ตรวจยืนยัน
ระยะที่
4:
limited phobic avoidance เริ่มกลัวและหลีกเลี่ยงต่อสถานที่หรือ
สถานการณ์ซึ่งผู้ป่วยรู้สึกว่า อาจทำให้เกิด panicได้
เช่น agoraphobia คือไม่กล้าไปไหนคนเดียวอาจทำให้ผู้ป่วยไม่อาจไปทำงานหรือดำเนินชีวิตประจำวันได้
ระยะที่
5:
extensive phobic avoidance มีความกลัวและหลีกเลี่ยงมากขึ้น
ระยะที่
6:
secondary depression เป็นเพียงอารมณ์หรือระดับเป็น major
depression อันเป็นผลจากการเป็น panic disorder มานานแต่ผู้ป่วยไม่ทราบสาเหตุ ไม่หาย ไม่สามารถช่วยตัวเองได้
ทั้งที่ร่างกายแข็งแรง ผิดหวังและละอายกับตนเองและครอบครัว บางรายอาจ
หันไปใช้ยาเสพติดหรือดื่มสุราหรือบางรายพยายามฆ่าตัวตาย
การวินิจฉัย
1.
โรคทางกาย ควรวินิจฉัยแยกจากโรคทางกาย
2.
โรคทางจิตเวช โรคจิตเวชอื่นๆ ที่อาจมีอาการคล้าย panic
attack ได้ เช่น phobia ชนิดต่างๆ
ผู้ป่วยมักจะมีอาการกลัว หรืออาจมีอาการแพนิคได้เมื่อเผชิญกับสิ่งที่ตนกลัว ใน posttraumatic
stress disorder ผู้ป่วยมีอาการแพนิคได้แต่มักมีอาการหลังจากที่เผชิญต่อเหตุการณ์ที่รุนแรงและคุกคามต่อชีวิตนอกจากนี้อาการแพนิคยังสามารถพบในโรคทางจิตเวชอื่นได้อีก
เช่น โรคซึมเศร้า โรคจิต , depersonalization disorder และ somatoform
disorder เป็นต้น
การรักษา
การรักษาได้ผลค่อนข้างดี
โดยเฉพาะการรักษาด้วยยา และ cognitive behavioral therapy
ยาแก้ซึมเศร้ากลุ่ม
selective
serotonin reuptake inhibitor (SSRI) พบว่าได้ผลดีในการรักษาโรคแพนิค
ปัจจุบันนิยมใช้ยากลุ่ม SSRI เป็นยาขนานแรกโดยให้ fluoxetine
เริ่มต้นที่ขนาด 10 มก./วัน เพิ่มได้ถึง 20-40 มก./วัน กินมื้อเช้าหลังอาหาร
ยาแก้ซึมเศร้ากลุ่ม
tricyclic
ที่นิยมใช้คือ imipramine โดยเริ่มขนาด 25 มก. ประมาณ 1 สัปดาห์แล้วจึงค่อยๆ เพิ่มขนาดยา 25 มก./สัปดาห์
เพราะหากเพิ่มยาเร็วไปในช่วงแรกผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการมากขึ้นและทนฤทธิ์ข้างเคียงของยาไม่ได้
ขนาดโดยทั่วไปจะประมาณ 50-75 มก.
ในทางปฏิบัติแล้วส่วนใหญ่จะให้ยาแก้ซึมเศร้าร่วมกับ
benzodiazepine
ไปพร้อมกันตั้งแต่แรก จน 4-6
สัปดาห์ต่อมาเมื่อควบคุมอาการได้ดีและยาแก้ซึมเศร้าออกฤทธิ์เต็มที่ แล้วจึงค่อยๆ
ลด benzodiazepine ลง
เหลือยาแก้ซึมเศร้าเพียงขนานเดียวไว้ควบคุมอาการ
เมื่อผู้ป่วยตอบสนองต่อการรักษาแล้วให้คงยาต่อเนื่องไปอีกอย่างน้อย
12 เดือน แล้วจึงลองลดยาลงโดยใช้เวลา 2-6 เดือน
หากไม่มีอาการระหว่างนี้ก็ให้หยุดยาได้
การรักษาอื่นๆ
นอกจากนี้ ยังมีการฝึกการผ่อนคลาย การฝึกหายใจเมื่อเกิด hyperventilation และการใช้เทคนิคต่างๆ ของพฤติกรรมบำบัด สำหรับอาการ agoraphobia การรักษาที่ได้ผลดี ได้แก่ exposure in vivo
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น