แอสเพอร์เกอร์
ซินโดรม (Asperger's Syndrome) เป็นความบกพร่องทางพัฒนาการรูปแบบหนึ่งที่มีลักษณะเฉพาะตัว
เป็นความผิดปกติของพัฒนาการด้านสังคม และการสื่อสาร จัดอยู่ในกลุ่มเดียวกับโรคออทิสติก
(Autistic Disorder) โดยมักแสดงอาการออกมาให้เห็นตั้งแต่เด็กอายุประมาณ
3 ขวบ ขึ้นไป พ่อแม่อาจสังเกตพบว่า
ลูกมีพฤติกรรมแปลกจากเด็กทั่วไป เช่น ชอบเล่นของเล่นซ้ำ ๆ นั่งนิ่ง ๆ ไม่สบตา
ชอบทำกิจกรรมเดิม ๆ ซ้ำๆ ไม่ค่อยแสดงอารมณ์โต้ตอบ ไม่สามารถเรียนรู้ที่จะแสดงความรักได้หรือความพึงพอใจได้
ปัจจุบันโรคนี้กำลังเป็นโรคที่สังคมทางตะวันตกให้ความสนใจ
ในสหรัฐอเมริกาคาดว่าจะมีถึง 400,000 ครอบครัว
ที่มีคนในครอบครัวคนใดคนหนึ่ง ที่เป็นกลุ่มอาการแอสเพอร์เกอร์และเนื่องจากการที่มีการกล่าวถึงโรคเหล่านี้กันมากขึ้น
ทำให้มีการวินิจฉัยโรคเหล่านี้ได้เพิ่มขึ้น แต่การวินิจฉัยโรคนี้ไม่มีวิธีการใดวิธีการหนึ่งโดยเฉพาะ
ส่วนใหญ่มีใช้การประเมินทักษะและพฤติกรรมของเด็กเท่านั้น
เด็กที่เป็นแอสเพอร์เกอร์นั้น
จะแตกต่างจากเด็กที่เป็นออทิสติค เพราะเด็กแอสเพอร์เกอร์ในช่วงแรก มักจะมีการพัฒนาด้านภาษาได้ตามเกณฑ์อายุ
มีความสามารถในการใช้รูปประโยคและคำศัพท์ต่างๆ ในการพูดได้ค่อนข้างดีเป็นปกติ
แต่เมื่ออายุมากขึ้นจะเริ่มมีปัญหาในการใช้ภาษา
แต่เด็กแอสเพอร์เกอร์นั้นจะไม่สูญเสียความสามารถทางการพูด คือ พูดได้เหมือนคนปกติ (ในขณะที่โรคใกล้เคียง
คือ ออทิสติก เด็กจะมีปัญหาเรื่องการพูดมากกว่า รวมทั้งอาการผิดปกติอย่างอื่นที่รุนแรงกว่าในอดีตจึงเข้าใจว่าแอสเพอร์เกอร์
ก็คือ ออทิสติก แต่เป็นออทิสติกที่มีศักยภาพสูงกว่า) และนอกจากนี้
เด็กแอสเพอร์เกอร์ ยังมีความสามารถในการช่วยเหลือตนเอง มีทักษะในบางเรื่องที่อาจจะดูดีกว่าเด็กอื่น
แต่สำหรับทักษะบางด้านอาจจะด้อยกว่า แต่โดยรวมแล้วเด็กเหล่านี้จะมีระดับสติปัญญาที่เป็นปกติหรืออาจจะดีกว่าปกติด้วยซ้ำ
โดยทั่วไปเด็กที่มีปัญหาในกลุ่มอาการแอสเพอร์เกอร์นี้
ส่วนใหญ่จะสามารถดำเนินชีวิตประจำวันได้เป็นปกติ แต่อาจจะมีปัญหาบ้าง
เมื่อต้องมีปฎิสัมพันธ์กับคนอื่นๆ โดยอาจมีพฤติกรรมการแสดงออก ที่ไม่สมกับวัย ดูเด็กกว่าวัย หรือมีลักษณะแปลกๆ ต่างจากเด็กคนอื่นๆ แต่เมื่อเด็กเหล่านี้โตขึ้นเป็นผู้ใหญ่
ก็ยังจะมีปัญหาในการเข้าสังคมกับผู้อื่น เช่น
อาจจะไม่ค่อยสนใจในความรู้สึกของผู้อื่น ไม่ค่อยมีความเห็นอกเห็นใจ
หรือมีอารมณ์ร่วมกับคนอื่นๆ ทำให้มีปัญหาในการปฎิสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน
และคนรอบข้าง พบว่าปัญหาเหล่านี้ จะยังคงอยู่ไปตลอด แม้ว่าจะมีอายุมากขึ้น
และมีวุฒิภาวะมากขึ้น ตามวัยแล้วก็ตาม แต่อาการแสดงต่างๆ อาจจะมีมาก
หรือน้อยเป็นช่วงๆได้
สาเหตุ
โรคแอสเพอร์เกอร์
ซินโดรม เกิดจากการทำงานของสมองบางตำแหน่งผิดปกติ
แต่ยังบอกไม่ได้ว่าสาเหตุที่ทำให้สมองทำงานผิดปกติเป็นเพราะอะไร
แม้ว่าจะมีงานวิจัยออกมาหลายชิ้น แต่ก็ยังไม่มีหลักฐานยืนยันชัดเจน ทั้งนี้
ปัจจุบันผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่า น่าจะเกิดความบกพร่องของสารพันธุกรรม
ซึ่งความผิดปกติทางพันธุกรรมก็ยังบอกไม่ได้อีกเหมือนกันว่าเกิดจากการถ่ายทอดจากรุ่นต่อรุ่นค่อย
ๆ สะสมความผิดปกติมาจนแสดงออกในรุ่นหนึ่ง หรือว่าเป็นการกลายพันธุ์ของยีน
ซึ่งยังต้องศึกษาวิจัยอีกระยะหนึ่ง ขณะที่อีกความเชื่อหนึ่งก็คือ
น่าจะเกิดจากสิ่งแวดล้อม แต่ก็ยังไม่สามารถสรุปได้แน่ชัด
ลักษณะอาการ
ทางการแพทย์ระบุว่าเด็กที่เป็นโรคแอสเพอร์เกอร์
ซินโดรม จะเริ่มแสดงอาการออกมาตั้งแต่อายุ 3 ขวบ
แต่อาการจะมาเด่นชัดเมื่ออายุระหว่าง 5-9 ขวบ ซึ่งโรคนี้ไม่ได้แสดงออกกับรูปร่าง
หน้าตา แต่จะแสดงออกมาให้เห็นจากพฤติกรรม ซึ่งจำแนกออกเป็น 3
ด้าน คือ
1. ด้านภาษา
- เด็กที่ป่วยโรคนี้สามารถใช้ภาษาสื่อสารกับคนได้รู้เรื่องเหมือนเด็กปกติ
แต่จะมีปัญหาไม่เข้าใจกับเรื่องที่จะพูด โดยเฉพาะคำพูดที่กำกวม มุกตลก
คำเปรียบเปรย คำประชดประชัน เสียดสี เขาจะไม่เข้าใจ
- มักจะพูดเรื่องของตัวเองมากกว่าเรื่องอื่น
ๆ ชอบพูดเรื่องซ้ำ ๆ เรื่องเดิม ๆ ด้วยคำพูดเหมือนเดิม
- มีปัญหาเมื่อต้องใช้ทักษะการอ่าน
คณิตศาสตร์ หรือการเขียน
- ไม่รู้จักการทักทาย
อยากถามอะไรก็จะโพล่งออกมาเลย จะถามเรื่องที่สนใจโดยไม่เสียเวลา และไม่มีเกริ่นนำ
ที่มาที่ไป
2. ด้านสังคม
- ไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น
ชอบแยกตัวอยู่คนเดียว ไม่สนใจบุคคลรอบข้าง
- เข้ากับเด็กอื่น
หรือคนอื่นไม่ค่อยได้
- มีปฏิสัมพันธ์โต้ตอบกับคนอื่นอย่างไม่เหมาะสมกับวัย
ไม่รู้จักกาลเทศะ ไม่มีมารยาท
- เวลาพูดคุยจะไม่ค่อยมองหน้า
ไม่ยอมสบตา
- ไม่แสดงความอยากเข้าร่วมสนุก
ร่วมทำสิ่งที่สนใจ หรือร่วมงานให้เกิดความสำเร็จกับคนอื่น ๆ
- ไม่มีอารมณ์หรือสัมพันธภาพตอบสนองกับสังคม
- บางรายมีพฤติกรรมสุดโต่ง
และมีความอ่อนไหวมาก
3. ด้านพฤติกรรม
- ชอบทำอะไรซ้ำ ๆ หมกมุ่น
สนใจมากกับเรื่องที่เขาชอบ โดยเฉพาะกับเรื่องที่ค่อนข้างซับซ้อน อย่างเช่น
แผนที่โลก วงจรไฟฟ้า ยี่ห้อรถยนต์ โลโก้สินค้า ดนตรีคลาสสิก ไดโนเสาร์
ระบบสุริยจักรวาล ธงชาติประเทศต่าง ๆ เป็นต้น
ซึ่งหากเด็กกลุ่มนี้สนใจในเรื่องใดแล้วจะรู้ลึก รู้จริง และมีความสามารถสูงมาก
- เปลี่ยนความสนใจได้ง่าย
ในบางรายมีความไวต่อสิ่งเร้าที่มาจากภายนอกค่อนข้างมากกว่าคนทั่วไป สมาธิสั้น
- ท่วงท่าการเดิน
การเคลื่อนไหวของร่างกายดูงุ่มง่าม หรือไม่คล่องตัว
- อาจพูดหรือมีพฤติกรรมบางอย่างไม่เหมาะสม
เช่น กินข้าวร้านนี้แล้วมันไม่อร่อย เวลาเดินผ่านเด็กที่เป็นโรคนี้ก็อาจจะพูดดัง ๆ
ขึ้นมาตรงนั้นเลยว่า "ข้าวร้านนี้ไม่อร่อย"
การวินิจฉัยโรคแอสเพอร์เกอร์
นพ.ทวีศักดิ์
สิริรัตน์เรขา จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น สถาบันราชานุกูล กรมสุขภาพจิต
ผู้ซึ่งใกล้ชิดผู้ป่วยโรคแอสเพอร์เกอร์ ซินโดรม ให้ข้อมูลว่า
ตามคู่มือการวินิจฉัยโรค DSM-IV
โดยสมาคมจิตแพทย์แห่งสหรัฐอเมริกา (The American Psychiatric
Association's Diagnostic and Statistic Manual of Mental Disorder - Forth
Edition, 1994) ได้จัดหลักเกณฑ์ในการวินิจฉัยโรคแอสเพอร์เกอร์
ไว้ดังนี้
1.
มีคุณลักษณะในการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมที่ผิดปกติ
โดยแสดงออกอย่างน้อย 2 ข้อต่อไปนี้
1.1 บกพร่องอย่างชัดเจนในการใช้ท่าทางหลายอย่าง
(เช่น การสบตา การแสดงสีหน้า กิริยา หรือท่าทางประกอบการเข้าสังคม)
1.2 ไม่สามารถสร้างความสัมพันธ์กับเพื่อนในระดับที่เหมาะสมกับอายุได้
1.3 ไม่แสดงความอยากเข้าร่วมสนุก
ร่วมทำสิ่งที่สนใจ หรือร่วมงานให้เกิดความสำเร็จกับคนอื่น ๆ (เช่น ไม่แสดงออก
ไม่เสนอความเห็น หรือไม่ชี้ว่าตนสนใจอะไร)
1.4 ไม่มีอารมณ์
หรือสัมพันธภาพตอบสนองกับสังคม
2.
มีพฤติกรรม ความสนใจ หรือกิจกรรมที่จำกัด ซ้ำ ๆ เป็นแบบแผน
โดยแสดงออกอย่างน้อย 1 ข้อ ต่อไปนี้
2.1 หมกมุ่นกับพฤติกรรมซ้ำ ๆ (Stereotyped)
ตั้งแต่ 1 อย่างขึ้นไป และความสนใจในสิ่งต่าง
ๆ มีจำกัด ซึ่งเป็นภาวะที่ผิดปกติทั้งในแง่ของความรุนแรงหรือสิ่งที่สนใจ
2.2 ติดกับกิจวัตร
หรือย้ำทำกับบางสิ่งบางอย่างที่ไม่มีประโยชน์โดยไม่ยืดหยุ่น
2.3 ทำกิริยาซ้ำ ๆ (Mannerism)
(เช่น เล่นสะบัดมือ หมุน โยกตัว)
2.4 สนใจหมกมุ่นกับเพียงบางส่วนของวัตถุ
3.
ความผิดปกตินี้ก่อให้กิจกรรมด้านสังคม การงาน หรือด้านอื่น ๆ
ที่สำคัญ บกพร่องอย่างมีความสำคัญทางการแพทย์
4.
ไม่พบพัฒนาการทางภาษาที่ล่าช้า อย่างมีความสำคัญทางการแพทย์
5.
ไม่พบพัฒนาการทางความคิดที่ช้าอย่างมีความสำคัญทางการแพทย์
หรือมีความสามารถในการช่วยเหลือตนเอง พฤติกรรมการปรับตัว
และมีความอยากรู้เห็นในสิ่งรอบตัวในช่วงวัยเด็ก
6.
ความผิดปกติไม่เข้ากับ พีดีดี
ความบกพร่องของพัฒนาการแบบรอบด้านชนิดเฉพาะอื่น หรือโรคจิตเภท (Schizophrenia)
การรักษา
อย่างที่ทราบกันว่าโรคนี้เกิดจากอะไรนั้นยังไม่ทราบสาเหตุ
จึงยังไม่มีวิธีการรักษาเฉพาะเจาะจงเพื่อให้หายขาดได้
แต่สามารถทำได้โดยบำบัดตามอาการ
ซึ่งพ่อแม่ผู้ปกครองก็มีส่วนสำคัญที่จะช่วยทำให้โรคนี้มีอาการน้อยลงได้ โดยเฉพาะในเรื่องทักษะการดูแลตัวเองในชีวิตประจำวัน
พัฒนาการทางสังคม หากฝึกฝนอย่างต่อเนื่องก็จะพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น
ช่วยให้เด็กเรียนรู้ และใช้ชีวิตอยู่ร่วมในสังคมได้ตามปกติ
โดยใช้แนวทางเดียวกับการดูแลรักษาผู้ที่เป็นออทิสติก เน้นแก้ไขในด้านที่เป็นปัญหาควบคู่ไปกับการส่งเสริมในด้านที่เป็นความสามารถของเด็กเป็นสำคัญ
อย่างไรก็ตาม
ปัญหาเรื่องการพูดจาไม่เหมาะสม บุคลิกภาพ
การเข้ากับเพื่อนนั้นอาจยังเป็นปัญหาที่หลงเหลืออยู่เมื่อเด็กเติบโตขึ้น
ซึ่งก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าสถานที่ที่เขาไปอยู่นั้นเป็นอย่างไร
ยอมรับในตัวเขาหรือไม่ หากได้รับการยอมรับและคนรอบข้างเข้าใจก็อาจไม่มีปัญหา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น