โรคสมองเสื่อม
(dementia) เป็นกลุ่มอาการซึ่งเกิดมาจากความผิดปกติในการทำงานของสมอง
มีการสูญเสียหน้าที่ของสมองหลายด้านพร้อม ๆ กัน แบบค่อยเป็นค่อยไป
แต่เกิดขึ้นอย่างถาวร ส่งผลให้มีการเสื่อมของระบบความจำและการใช้ความคิดด้านต่าง
ๆ ผู้ป่วยจะสูญเสียความสามารถในการแก้ไขปัญหาหรือการควบคุมตนเอง
มีการเปลี่ยนแปลงบุคลิกภาพ พฤติกรรม และส่งผลกระทบต่อการทำงาน
รวมถึงการดำรงชีวิตประจำวัน
สาเหตุ
สาเหตุหลักของโรคนี้
คือ โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน ภาวะไขมันในเลือดสูง และการสูบบุหรี่
ลักษณะอาการ
อาการที่สำคัญของโรคสมองเสื่อม
มีดังนี้
ผู้ป่วยสมองเสื่อมในระยะแรกอาจมีอาการไม่มากนัก โดยเฉพาะอาการหลงลืม
และยังสามารถช่วยเหลือตัวเองได้บ้าง แต่จะทรุดหนักเมื่อเวลาผ่านไป
อาการดำเนินแบบค่อยเป็นค่อยไป ผู้ป่วยจะเริ่มมีปัญหาด้านพฤติกรรม
และอาการทางระบบประสาทอื่น ๆ ตามมา ซึ่งอาการที่สามารถพบได้ในผู้ป่วยสมองเสื่อมมีดังนี้
-
ความจำเสื่อม โดยเฉพาะความจำระยะสั้น
หรือมีความบกพร่องในการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันมากเกินวัย
เมื่อเทียบกับผู้ที่มีอายุใกล้เคียงกัน เช่น การวางของแล้วลืม
จำนัดหมายที่สำคัญไม่ได้ ลืมไปแล้วว่าเมื่อสักครู่พูดอะไร ใครมาพบบ้างในวันนี้
และหากมีความรุนแรงมากขึ้นความจำในอดีตก็จะเสื่อมด้วย
- ไม่สามารถทำสิ่งที่เคยทำได้ เช่น ลืมไปว่าจะปรุงอาหารชนิดนี้ได้อย่างไร ทั้งที่เคยทำ
- มีปัญหาในการใช้ภาษา เช่น พูดไม่รู้เรื่อง พูดซ้ำ ๆ ซาก ๆ เรียกชื่อคนหรือสิ่งของเพี้ยนไป ลำบากในการหาคำพูดที่ถูกต้อง ทำให้ผู้อื่นฟังไม่เข้าใจ
- มีปัญหาในการใช้ภาษา เช่น พูดไม่รู้เรื่อง พูดซ้ำ ๆ ซาก ๆ เรียกชื่อคนหรือสิ่งของเพี้ยนไป ลำบากในการหาคำพูดที่ถูกต้อง ทำให้ผู้อื่นฟังไม่เข้าใจ
- มีปัญหาในการลำดับทิศทางและเวลา ทำให้เกิดการหลงทาง หรือกลับบ้านตัวเองไม่ถูก
- สติปัญญาด้อยลง การคิดเรื่องยาก ๆ หรือคิดแก้ปัญหาอะไรไม่ค่อยได้ มีการตัดสินใจผิดพลาด
- วางของผิดที่ผิดทาง เช่น เอาเตารีดไปวางในตู้เย็น เอานาฬิกาข้อมือใส่เหยือกน้ำ เป็นต้น
- อารมณ์เปลี่ยนแปลงง่ายและรวดเร็ว เช่น เดี๋ยวโกรธ เดี๋ยวร้องไห้ เดี๋ยวก็สงบนิ่ง
- บุคลิกเปลี่ยนแปลงไป เช่น ไม่สนใจต่อสิ่งแวดล้อม ซึมเศร้าหรืออาจจะมีบุคลิกที่กลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง ในรายที่มีอาการรุนแรงมาก ๆ อาจไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ แม้แต่การอาบน้ำ เข้าห้องน้ำ จึงต้องมีผู้ดูแลตลอดเวลา
- สติปัญญาด้อยลง การคิดเรื่องยาก ๆ หรือคิดแก้ปัญหาอะไรไม่ค่อยได้ มีการตัดสินใจผิดพลาด
- วางของผิดที่ผิดทาง เช่น เอาเตารีดไปวางในตู้เย็น เอานาฬิกาข้อมือใส่เหยือกน้ำ เป็นต้น
- อารมณ์เปลี่ยนแปลงง่ายและรวดเร็ว เช่น เดี๋ยวโกรธ เดี๋ยวร้องไห้ เดี๋ยวก็สงบนิ่ง
- บุคลิกเปลี่ยนแปลงไป เช่น ไม่สนใจต่อสิ่งแวดล้อม ซึมเศร้าหรืออาจจะมีบุคลิกที่กลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง ในรายที่มีอาการรุนแรงมาก ๆ อาจไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ แม้แต่การอาบน้ำ เข้าห้องน้ำ จึงต้องมีผู้ดูแลตลอดเวลา
ระยะการดำเนินโรค
ระยะเวลาการดำเนินของโรคอาจแตกต่างกันในแต่ละคน
โดยระยะเวลาตั้งแต่เริ่มมีอาการ (ระดับอ่อน) จนเสียชีวิต (ระดับรุนแรง)
โดยเฉลี่ยจะประมาณ 8-10 ปี
การวินิจฉัยโรค
เมื่อมีอาการน่าสงสัยควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการทดสอบภาวะของความจำหากผลตรวจน่าสงสัยว่าเป็นโรคสมองเสื่อม
แพทย์จะทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติมเช่น ตรวจร่างกายและเลือดทั่วไปเพื่อคัดแยกโรคต่าง
ๆที่เกิดขึ้นภายนอกสมองที่มีผลต่อความจำหรือทำให้สมองเสื่อมเมื่อแยกโรคทั่วไปออกแล้ว
แพทย์ก็จะทำการตรวจปัญหาที่เกิดขึ้นในสมองซึ่งจะต้องแยกโรคติดเชื้อเนื่องอกโพรงน้ำไขสันหลังขยายตัวเส้นเลือดตีบออกไปจากภาวะสมองเสื่อมหรือฝ่อการถ่ายภาพสมองโดยเครื่อง CT
MRI หรือ PET Scanก็จะทำให้สามารถวินิจฉัยโรคได้ถูกต้อง
การรักษา
แพทย์จะพิจารณารูปแบบการรักษาให้กับผู้ป่วย
ซึ่งจะมี 2 รูปแบบ คือ การรักษาด้วยการใช้ยาและการรักษาโดยไม่ใช้ยา
เนื่องจากภาวะสมองเสื่อมนั้น
มีทั้งที่เกิดจากสาเหตุที่รักษาได้และรักษาไม่ได้
หากวิเคราะห์แล้วว่าเกิดจากสาเหตุที่รักษาได้
ก็จะวินิจฉัยหาโรคที่ทำให้เกิดภาวะสมองเสื่อมและจะเริ่มการรักษาตามโรคที่ผู้ป่วยเป็น
แต่ถ้าสมองเสื่อมที่เกิดจากความเสื่อมของสมองเอง (Neurodegenerative) แพทย์ก็จะพิจารณารักษาอาการตามระดับความรุนแรง “ในการรักษาผู้ป่วยกลุ่มนี้
แพทย์จะให้ยาเพื่อช่วยยับยั้งเอนไซม์ที่มาทำลายแอซิติลโคลีน (Acetylcholine) ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทที่ส่งผลโดยตรงกับความทรงจำ ยาดังกล่าวจะช่วยเพิ่มระดับของแอซิติลโคลีน
เป็นการรักษาตามอาการโดยการปรับระดับของสารสื่อประสาทให้มีมากขึ้น
ส่วนการรักษาที่ไม่ใช้ยานั้น แบ่งเป็นสองส่วนด้วยกัน ได้แก่ การบริหารสมอง และการดูแลผู้ป่วยอย่างถูกต้องและใกล้ชิด “การบริหารสมองแพทย์จะหากิจกรรมที่ต้องใช้ความคิดหรือเกมส์ให้ผู้ป่วยเล่น เช่น ให้เล่นเกมส์ Sudoku อ่านหนังสือ ควบคู่ไปกับการเน้นความสำคัญในเรื่องของการดูแลผู้ป่วย ซึ่งต้องมีการแนะนำการดูแลที่ถูกต้องอย่างใกล้ชิด ให้ความรู้แก่ผู้ป่วยและญาติเกี่ยวกับการดำเนินของโรค การจัดสิ่งแวดล้อม ที่เหมาะสม และความปลอดภัยของผู้ป่วย รวมไปถึงให้การดูแลผู้ดูแลผู้ป่วยด้วย เพื่อรักษาสภาพทางจิตใจและเพิ่มคุณภาพชีวิตให้แก่ผู้ป่วยผู้ดูแล และครอบครัว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น