โรคจิตเภท (Schizophrenia) คือ
กลุ่มอาการของโรคที่มีความผิดปกติของความคิด
ทำให้ผู้ป่วยมีความคิดและการรับรู้ไม่ตรงกับความเป็นจริง
ทำให้มีผลเสียต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน
สาเหตุ
สาเหตุมาจากทั้งด้านร่างกายและจิตใจ
ดังนี้
ด้านร่างกาย
ทางพันธุกรรม โดยสารเคมีในสมองมีความผิดปกติและจากโครงสร้าง ของสมองบางส่วนที่มีความผิดปกติเล็กน้อย
ด้านจิตใจ
จากความเครียดในชีวิตประจำวัน
เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดความเจ็บป่วย การใช้อารมณ์กับผู้ป่วย การตำหนิ
มีท่าทีที่ไม่เป็นมิตร
ลักษณะอาการ
อาการเริ่มต้น
อาการเริ่มต้น
อาจเกิดในแบบเฉียบพลันทันที หรือเกิดแบบค่อยเป็นค่อยไปก็ได้ ในกรณีที่อาการเริ่มต้นเป็นแบบค่อย
เป็นค่อยไป จะมีอาการเริ่มต้นอย่างช้าๆ อาจมีอาการสับสน มีความรู้สึกแปลกๆ
ไม่อยู่ในความเป็นจริง อาการ จะค่อยๆ มากขึ้น
ทำให้ครอบครัวและคนรอบข้างรู้สึกว่าผู้ป่วยเปลี่ยนไปจากบุคลิกภาพเดิม อาทิเช่น
แยกตัว ไม่อยากสุงสิงกับใครมีอาการ ระแวงคนอื่น มีปัญหาการนอนหลับ
ไม่สามารถรับผิดชอบหน้าที่การงาน การเรียน ได้เหมือน ปกติ ค่อยๆ หมดความสนใจ
สิ่งต่างๆ รอบตัว รวมถึง การดูแลสุขภาพอนามัยส่วนตัว
อาการเหล่านี้
เป็นอาการเริ่มต้นที่ช่วยเตือนว่า อาจจะมีการเริ่มต้นของโรคจิตเภทแล้ว
สิ่งที่สำคัญที่ควรทำ คือ การ ปรึกษาแพทย์เพื่อรับการบำบัดรักษาแต่เนิ่นๆ
ซึ่งจะช่วยให้การรักษาได้ผลดีกว่าการปล่อยไว้นานจนเป็นการเจ็บป่วยเรื้อรัง
ลักษณะอาการแบ่งออกได้ 2 กลุ่ม คือ
1. กลุ่มอาการที่เพิ่มมากกว่าคนปกติทั่วไป
ได้แก่ อาการหลงเชื่อผิด เป็นความเชื่อของผู้ป่วยที่ผิดไปจากความเป็นจริง
เช่น คิดว่าคนอื่นจะมาทำร้าย ระแวงว่าตนจะถูกวางยาพิษ คิดว่าตนส่งกระแสจิตได้
- ความคิดผิดปกติ ผู้ป่วยคิดแบบมีเหตุผลอย่างต่อเนื่องไม่ได้
ทำให้คุยกับคนอื่นไม่เข้าใจ ผู้ป่วยมักพูดไม่เป็นเรื่องราว พูดไม่ต่อเนื่อง
เปลี่ยนเรื่องพูดโดยไม่มีเหตุผล
- ประสาทหลอน โดยผู้ป่วยคิดว่ามีบางสิ่งเกิดขึ้น ทั้งๆ ที่
ความจริงไม่มีสิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้น เช่น ได้ยินเสียงคนมาพูดด้วยทั้งๆ
ที่ไม่มีใครพูดด้วย (หูแว่ว) มองเห็นวิญญาณ (เห็นภาพหลอน)
- มีพฤติกรรมผิดปกติ โดยมักเกี่ยวข้องกับความคิดและความเชื่อที่ผิดปกติ เช่น ทำร้ายคนอื่น
อยู่ในท่าแปลกๆ ซ้ำๆ
หัวเราะหรือร้องไห้สลับกันเป็นพักๆ
2. กลุ่มอาการที่ขาดหรือบกพร่องไปจากคนปกติทั่วไป
ได้แก่
- เก็บตัว ซึม ไม่อยากพบปะผู้คน แยกตัวเอง
- ไม่ดูแลตัวเอง ไม่สนใจเรื่องการแต่งกาย กลางคืนไม่นอน
- ไม่มีความคิดริเริ่ม เฉื่อยชาลง ไม่ทำงาน นั่งเฉยๆ
ได้ทั้งวัน ผลการเรียนหรือการทำงานตกต่ำ
- พูดน้อย ใช้เวลานานกว่าจะตอบ พูดจาไม่รู้เรื่อง
เนื้อความไม่ปะติดปะต่อกัน
- การแสดงออกทางอารมณ์ลดลงมาก ไร้อารมณ์ มักมีสีหน้าเฉยเมย
ไม่มีอาการยินดียินร้าย
ระยะดำเนินของโรค
ผู้ป่วยจะเริ่มด้วยอาการนำ
แล้วตามมาด้วยอาการของโรคอาจจะเกิดแบบเฉียบพลัน หรือค่อยเป็นค่อยไป
อาการสงบลงสลับกับกำเริบขึ้นอีกเป็นครั้งคราว
ผ่านไปหลายปีอาจจะมีอาการหลงเหลืออยู่เช่นเดียวกับอาการนำ
การวินิจฉัย
การวินิจฉัยโดยอาการเป็นสำคัญ
ผู้ป่วยมีลักษณะดังต่อไปนี้
- มีพฤติกรรมที่ผิดปกติ
- ป่วยเรื้อรัง
- ความสามารถในการดำรงชีวิตเสื่อมถอย เช่น
ทำงานไม่ได้ พึ่งตนเองไม่ได้
-
เมื่อป่วยแล้วไม่หายเป็นปกติเหมือนก่อนป่วย
การรักษา
การรักษาโรคจิตเภทประกอบด้วย
1. การรับไว้รักษาภายในโรงพยาบาล
ผู้ป่วยจิตเภทที่ต้องให้การรักษาภายในโรงพยาบาลจะมีลักษณะต่อไปนี้คือ
มีปัญหาในการวินิจฉัย ผู้ป่วยมีอาการรุนแรงจนพฤติกรรมเสียระบบ ( disorganized)
และไม่เหมาะสมจนไม่สามารถจัดหาความต้องการพื้นฐานให้ตนเอง
ผู้ป่วยอาจจะฆ่าตัวตายหรือทำร้ายผู้อื่น
2. การรักษาทางกาย ( somatic
treatment)
การใช้ยา antipsychotic ทำให้อาการโรคจิตดีขึ้น
แต่ไม่ได้ทำให้จิตเภทหาย ผู้ป่วยต้องรับการรักษานาน โดยมีหลักการคือ
รักษาอาการเฉียบพลัน และให้ยาระยะยาวเพื่อป้องกันการกลับเป็นซ้ำ
การรักษาด้วยการทำให้ชักด้วยไฟฟ้า
( ECT) วิธีนี้ได้ผลสู้ยาต้านโรคจิตไม่ได้
แต่จะใช้ได้ผลดีมากสำหรับจิตเภทชนิด catatonia และผู้ป่วยที่ไม่สามารถใช้ยาต้านโรคจิต
การรักษาด้วยวิธีอื่นๆ
เช่น จิตศัลยกรรม ( psychosurgery) โดยเฉพาะ frontal
lobotomy ปัจจุบันไม่ใช้วิธีนี้ในการรักษาจิตเภทแล้ว
3. การรักษาทางจิตสังคม
แม้ว่ายาต้านโรคจิตจะเป็นหลักในการรักษาจิตเภท
แต่การรักษาทางจิตสังคมจะช่วยเพิ่มพูน ทำให้อาการทางจิตดีขึ้น
การรักษาจึงควรจะกระทำควบคู่กันไปทั้งการรักษาด้วยยา และการรักษาทางจิตสังคม
จิตบำบัด โดยใช้แนวคิดทฤษฎีต่างๆมาใช้ในการบำบัด
เช่น พฤติกรรมบำบัด ( Behavioral therapy)
กลุ่มบำบัด ( Group
Therapy)
ครอบครัวบำบัด
เพื่อให้ครอบครัวเข้ามามีส่วนร่วมในการดูแลและช่วยเหลือผู้ป่วย
เป้าหมายของการรักษามี 3 ประการคือ
1. รักษาอาการให้หายหรือบรรเทาลง
(symptoms reduction) เช่น การรักษาด้วยยา การช็อกด้วยไฟฟ้า
2. ป้องกันไม่ให้กลับป่วยซ้ำอีก (prevention
of relapse) เช่น การทำจิตบำบัดแบบบุคคลหรือกลุ่ม
3. การฟื้นฟูสมรรถภาพ
ทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น (rehabilitation) เช่น เกษตรกรรมบำบัด
อาชีวบำบัด จัดโปรแกรมให้ความรู้ การให้คำปรึกษา จิตบำบัดแบบประคับประคอง
การรักษาผู้ป่วยจิตเภท
ควรให้การรักษาอย่างเต็มที่ตั้งแต่ครั้งแรกจะเป็นผลดีที่สุด กล่าวคือ ร้อยละ 90
จะหายจากอาการเจ็บป่วย
ถ้าทิ้งไว้นานอาการกำเริบครั้งต่อมาจะรักษาไม่ได้ผลดีเท่ากับการรักษาครั้งแรก
และยิ่งเป็นมากครั้งต้องใช้เวลารักษานานขึ้น นอกจากนี้
ผู้ป่วยจิตเภทที่เกิดอาการกำเริบบ่อยครั้ง การทำงานของสมองจะเสื่อมถอยลง
โดยพบว่าเนื้อสมองสีเทา (Gray matter) จะมีปริมาณลดลง
ทำให้ผู้ป่วยมีความยากลำบากในการคิด การตัดสินใจอย่างมาก ซึ่งส่งผลต่อการบำบัดทางจิตสังคม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น